ใจดีแบบมีสติ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ใจดีแบบมีสติ
การมองโลกในแง่ดีย่อมเกิดจากใจที่ดีงามและเป็นธรรมชาติ แต่การมองโลกในแง่ดีเกินไปจนเกิดผลร้ายตามมา มักเกิดจากการขาดสติปัญญาอันแยบคายในขณะนั้นมากกว่า
การมองคนบางคนผิดไป การสำคัญผิด การเข้าใจผิด หรือความใจดีที่เกิดผลร้ายตามมาในภายหลัง มักเกิดจากการขาดสติอันแยบคาย หรือในบางกรณี อาจเป็นเพราะวิบากกรรมบางอย่างที่จะต้องได้เสวย จึงให้มีบางสิ่งบางอย่างมาปิดบังสติปัญญา ทำให้นึกไม่ออก คิดไม่ได้ คาดไม่ถึง จึงตัดสินใจทำสิ่งนั้นลงไป แล้วก็มักโทษว่า “เพราะมองโลกในแง่ดีเกินไป”
การมองคนในแง่ดีหรือด้วยความเป็นมิตรไว้ก่อน เป็นจิตขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์ผู้มีใจสมบูรณ์ วัดจากความที่บุคคลนั้นมีความเป็นมิตรต่อผู้อื่นและมองโลกในแง่ดีมากน้อยเพียงใด หากมองโลกในแง่ดีมากกว่า ชีวิตแต่ละวันจะราบรื่นปกติ
หากมองโลกในแง่ร้ายเกิน ๖๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป พึงประเมินตัวเองได้เลยว่า เราได้ปล่อยจิตปล่อยใจให้อกุศลจิตครอบงำมานาน จนจิตใจของเราตกลงมาต่ำกว่าค่ามาตรฐานของความเป็นมนุษย์ เราจะกลายเป็นคนหนึ่งที่ช่างวิตกกังวลและคิดมากอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใจดีแต่ขาดสติอันแยบคาย จะกลายเป็นคนอ่อนแอและมักถูกครอบงำจากคนพาลหรือคนที่ไม่มีศีลได้ง่าย เนื่องความใจดีในลักษณะนั้นเป็นความอ่อนแอทางจิตใจ ส่วนใหญ่มักเป็นคน “ไม่กล้าเปลืองตัว”ในการยืนหยัดในจริยธรรมความดีงาม ยอมเลือกฝืนใจตัวเอง แต่ไปเอาใจคนอื่น ทั้งๆที่ในลึกๆก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาทำในสิ่งผิดหรือไม่ถูกต้อง
คนดีที่ขาดความกล้าหาญและไม่กล้าเปลืองตัวในการยืนบนหลักการของตัวเอง คนประเภทนี้ไม่สมควรให้เป็นผู้นำหรือปกครองคนหมู่มาก เพราะจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนประจบสอพลอ จะไม่มีลูกน้องที่รักและซื่อสัตย์อย่างแท้จริงช่วยค้ำจุน ยามหมดอำนาจวาสนาหรือไม่มีประโยชน์บริวารก็ย่อมจากไป เนื่องจากขาดความรักความจริงใจและการทุ่มเทต่อเพื่อนมนุษย์ ในที่สุดก็ไม่ได้รับความจริงใจจากใครอันเป็นไปตามกฎความเป็นธรรมดา
การที่คนดีมากมายไม่กล้าเปลืองตัว มาจากการรักตัวเองมากเกินไป “กลัวว่าคนอื่นจะว่าเราไม่ดี” นี้คือจุดอ่อนของคนดีทั้งหลาย ที่ทำดีมากมายแต่ก็ไปไม่ถึงฝั่ง
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่คนที่คอยแต่จะเป็นคนดีของใคร แต่คือคนที่มองเห็นสิ่งใดที่ดีงามและเป็นประโยชน์ต่อตนและคนอื่น ก็มุ่งมั่นทำต่อไปไม่ย่อท้อ ไม่ใส่ใจว่าใครจะว่าตัวเองชั่วหรือเลวอย่างไร ใครจะว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เขาว่าไป จนกระทั่งวันหนึ่งงานที่ทำนั้นบรรลุผลสำเร็จแล้ว ทุกคนก็ย่อมชื่นชมและสรรเสริญไปเอง นี้คือวิถีแห่งความสำเร็จ
คนที่ในสายตาของใครๆมองว่าเขาเป็นคนดี แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควร ทั้งที่โอกาสมาถึงแล้วแต่คว้าเอาไว้ไม่ได้หรือย่อท้อไปเสียก่อน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะขาดความกล้าหาญในช่วงสำคัญที่จะต้องตัดสินใจในสิ่งที่ควรตัดสินใจลงไปในช่วงเวลานั้น
เปรียบได้กับชายหนุ่มที่รักผู้หญิง มัวเอาแต่คิดมาก ไม่กล้าสารภาพรักหรือขอแต่งงานในเวลาที่ความรักกำลังสุกงอม หรือหญิงสาวที่มีชั้นเชิงมายาซับซ้อนมากเกินไป เมื่อผู้ชายมาสารภาพรักหรือขอแต่งงานก็ไม่ยอมตกลงปลงใจ สุดท้ายผู้ชายหรือผู้หญิงประเภทนี้ก็เลือกคู่ผิดพลาด เพราะไม่มีความกล้าหาญในการที่จะฉวยเอาโอกาสอันมาถึงแล้วไว้ในกำมือตน
การมองโลกในแง่ดีแต่มีสติ คือการที่มีหัวใจมีเมตตามีความเป็นมิตรต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ก็มีไหวพริบปฏิภาณรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรสักแค่ไหน ไม่ใช่มีใครมายกยอปอปั้นก็เคลิบเคลิ้มใจดีกับเขาเรื่อยไป อย่างนั้นอาจไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีตามที่นักปราชญ์ท่านสอนไว้ แต่อาจเข้าข่ายกลายเป็น “ความโง่แบบไม่ตั้งใจ” หรือ การขาดสติปัญญาอันแยบคายแต่ยังหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดีอย่างนี้ก็มีอีกเหมือนกัน
มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้ธรรมะกลับหัวกลับหางแล้วก็มาอ้างว่า “เพราะตัวข้าพเจ้านี้มองโลกในแง่ดีเกินไป จึงหลวมตัวพลาดไปถึงเพียงนี้” อย่างนี้ก็มี ความจริงแล้วบางทีก็ไม่ใช่เรื่องการมองโลกในแง่ดีอะไร แต่คือการอยากจะได้อะไรอะไรมาง่ายๆโดยไม่ต้องออกแรงหรือฉลาดเกินไปจึงพลาดโอกาสมากกว่า
ตอนหลังก็เลยกลายเป็นคนระแวงคนหรือชอบมองคนในแง่ร้าย โดยอ้างว่า “เพื่อความรอบคอบจะได้ไม่ต้องมาเสียใจ” แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความเสียใจรอบใหม่ เพราะผลจาก “การมองโลกในแง่ร้าย”เลยต้องพลาดจากคนที่จริงใจหรือโอกาสดีๆให้มีอันหลุดลอยไปตามเคย
การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้มีความสุข เราต้องมองคนในแง่ดีและให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ว่าเขาจะมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อเราเป็นอันดับแรก หากต่อมาเขาทรยศหรือหมดความจริงใจที่เคยมีต่อเรา เราก็ยอมรับในการกระทำและการตัดสินใจของเขา แล้วเราก็ยังคงความบริสุทธิ์และมีความใจให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนต่อไปเหมือนเดิม
การมองโลกในแง่ดีต้องประกอบด้วยความเป็นผู้มีสติกำกับ จิตเช่นนั้นจะแยกแยะได้เองโดยอัตโนมัติว่าในเวลานี้ควรเป็นผู้รับหรือควรเป็นผู้ให้ ในช่วงใดที่ต้องอยู่อย่างผู้บำเพ็ญความสันโดษหรือว่าต้องเมตตากรุณาเกื้อกูลใคร ในยามใดที่ต้องทุ่มเทชี้แนะแนวทางให้แก่เขาอย่างสุดหัวใจหรือว่าถึงเวลาที่ควรจะปล่อยวางให้เขาเป็นไปตามวิบากกรรม
ผู้มีความรักแท้และความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ ต้องกล้าตักเตือนไม่กลัวว่าเขาจะโกรธ หากทางที่เขาเดินไปนั้นจะตกเหว ต้องห้ามปรามหากเขาเดินผิดทางแม้เขาจะหันมาด่าด้วยความขัดใจว่าตัวเรานี้เป็นคนเลว เขาจะว่าเราเป็นคนดีหรือคนเลวก็ปล่อยให้เขาว่าไป ขอเพียงให้เขาพลาดตกเหวได้เท่านั้นเป็นพอ
นี้คือวิถีของผู้มีหัวใจมองโลกในแง่ดีที่มีสติกำกับพร้อมทั้งมีรักอันเที่ยงแท้ หัวใจเช่นนี้ย่อมไม่มีความผันแปร ไม่ว่าคนที่เรารักจะก้าวเดินอย่างปลอดภัยหรือตกเหว เมื่อเขาปลอดภัยและมีความสุขเราก็ปลื้มปีติและสุขใจ หากเขาตกเหวลงไป ก็พยายามหย่อนเชือกลงไปใหม่ เผื่อเขายังมีลมหายใจแล้วพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา
จงเป็นผู้มองโลกในแง่ดีอย่างมีสติ แล้วชีวิตนี้จะมีความสุขและเกิดความกล้าหาญ สามารถบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมและผู้อื่นได้มาก เป็นชีวิตที่อุดมด้วยความรักและปัญญา เป็นหัวใจที่กล้าแกร่งประดุจเพชรกล้า ที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้เสมอและตลอดไป
คุรุอตีศะ
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗