ผู้รู้มักอยู่อย่างซ่อนตัว
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ผู้รู้มักอยู่อย่างซ่อนตัว
ท่านฤาษีไผ่ คือตัวอย่างของผู้รู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมอย่างเงียบๆ แม้จะมีคุณธรรมภายในที่ทรงคุณวิเศษชั้นสูงมีอภิญญาจิต แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่ยอมแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนต้องหลั่งไหลคลั่งไคล้เคารพกราบไหว้บูชา
ท่านปู่ฤาษีไผ่(คำไถ่) คือผู้รู้ที่ซ่อนเร้นอภิญญาและคุณวิเศษอันสูงกว่าครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกมากมาย แล้วจึงมาแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ตอนตาย เพื่อดำรงศรัทธาพระศาสนาในขณะที่ผู้คนกำลังเสื่อมศรัทธาต่อพระสงฆ์และไม่มีที่พึ่งทางจิตใจ เพื่อให้ผู้คนได้เกิดความอบอุ่นใจว่าพระพุทธศาสนานี้ยังคงความสูงส่งและประเสริฐอยู่เสมอไม่เสื่อมคลาย จนกว่าพระพุทธศาสนาจะมีอายุครบ ๕,๐๐๐ ปี
ฤาษีไผ่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
สำหรับหลวงพ่อพิบูลย์นั้น คนในแถบภาคกลางหรือในถิ่นอื่นอาจจะไม่ค่อยรู้จัก แต่สำหรับคนในมณฑลอุดรและภาคอีสานเมื่อก่อนนั้น จะเป็นที่ทราบกันดีว่าหลวงพ่อพิบูลย์คือพระผู้ทรงอภิญญาสำเร็จธรรมออกมาจากป่าเพื่อมาตั้งวัดตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสมากของประชาชนโดยทั่วไป
ต่อมาเนื่องจากท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจและพาชาวบ้านสร้างถนนหนทาง สร้างความเจริญต่างๆมากมายให้แก่ท้องถิ่น ท่านริเริ่มตั้งธนาคารโคกระบือให้ชาวบ้านผู้ยากจนนำไปใช้สอย เป็นที่พึ่งทั้งในด้านอภินิหารต่างๆ จึงถูกกลั้นแกล้งใส่ความจากเจ้าคณะผู้ปกครองและฝ่ายบ้านเมืองว่าท่านเป็น “ผีบุญ” แล้วจับท่านไปคุมขังไว้เพื่อแยกท่านออกจากชาวบ้าน
ในภาคเหนือ มีพระผู้ทรงอภิญญาเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแล้วถูกพระฝ่ายปกครองกลั่นแกล้งใส่ความโดยอาศัยกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ คือท่านครูบาศรีวิชัย ส่วนในภาคอีสาน ก็มีพระผู้ปฏิบัติดีและทรงคุณธรรมสูงถูกกลั่นแกล้งโดยอาศัยกฎหมายคือหลวงพ่อพิบูลย์และมีอีกหลายรูปด้วยกัน ถ้าจะใช้คำให้ทันสมัยแบบสมัยนี้ ก็เรียกว่าเป็นพระภิกษุผู้เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาและเป็นพระผู้ปฏิบัติดีแต่ “ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง”
หลวงพ่อพิบูลย์ถูกคุมขังและทรมานต่างๆโดยหาความผิดอะไรท่านไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งทางฝ่ายบ้านเมืองนำท่านไปกักขังที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ท่านถูกจับใส่กรงไปถ่วงน้ำ ๗ วัน ๗ คืน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คิดว่าท่านคงตายแล้วจะไปนำศพขึ้นมา กลับปรากฏว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย นอกจากไม่เป็นอะไรแล้ว แม้แต่จีวรของท่านก็ไม่เปียกน้ำ เจ้าหน้าที่ต่างพากันตกใจกลัวจนตัวสั่น จนข้าหลวงเมืองชลบุรีสมัยนั้นเกิดความเลื่อมใส ท่านถูกขังอยู่ ๓ ปี ข้าหลวงจึงดำเนินการให้ท่านกลับบ้านเกิดเมืองอุดรธานีตามความประสงค์ของท่าน
เมื่อท่านได้กลับไปอุดรธานี ก็พาศรัทธาญาติโยมพัฒนาความเจริญและอนุเคราะห์เกื้อกูลสั่งสอนญาติโยมไปจนกระทั่งวาระสุดท้าย และทำการประชุมเพลิงสรีระของท่านไปเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔
ต่อมาทางราชการและประชาชนได้ตั้งชื่ออำเภอแห่งนั้นขึ้นใหม่ว่า “อำเภอพิบูลย์รักษ์” อันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานีเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านมาจนทุกวันนี้
ฤาษีไผ่ในสมัยตอนเป็นหนุ่มได้บวชเป็นพระภิกษุเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพิบูลย์ แต่ด้วยความที่ครูบาอาจารย์ถูกกลั่นแกล้งด้วยเรื่องอันไม่เป็นจริง ได้เห็นความไม่เที่ยงของชีวิตและสรรพสิ่ง หลังจากหลวงพ่อพิบูลย์ละสังขารไป ท่านได้ลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาได้อุปสมบทใหม่แล้วได้ไปศึกษาธรรมะกับหลวงปู่สำเร็จลุนแห่งประเทศลาว จนได้ธรรมะเป็นเครื่องอุ่นใจสำหรับท่านนับแต่บัดนั้น
ด้วยความที่ท่านได้มองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของลาภยศสรรเสริญและความมีชื่อเสียงนับตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นหนุ่มสมัยอยู่กับหลวงพ่อพิบูลย์ เห็นความไม่เป็นสาระของศรัทธาญาติโยมซึ่งใจของปุถุชนย่อมหาความแน่นอนไม่ได้
ดังนั้นแม้ท่านมีธรรมะและทรงอภิญญาจิตสูงส่งเพียงใด ท่านก็พอใจที่จะหลบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆแล้วอาศัยอยู่กับลูกศิษย์ในสำนักเล็กๆที่คนไม่ค่อยสนใจและไม่ค่อยรู้จัก มีความสุขกับฌานสมาบัติโดยไม่ต้องมีภาระในการแสดงธรรมและการอบรมสั่งสอนผู้คน รวมทั้งไม่ต้องมีภาระในการรับแขกอีกด้วย
ในบั้นปลายของชีวิตท่านมองเห็นว่าแม้การโกนหัวนุ่งห่มจีวรแบบพระภิกษุ ก็ยังเป็นภาระและยังต้องสาละวนกับการที่มีคนมากราบมาไหว้ เวลา ๙ ปีในช่วงสุดท้ายแห่งการทรงสังขารท่านจึงปล่อยให้ผมยาวไปตามธรรมชาติ แล้วถือเพศเป็นฤาษีชีไพรเพื่อที่ผู้คนทั้งหลายจะได้เลิกสนใจ เพื่อที่จะได้ทรงสมาธิอันยิ่งใหญ่ฟอกธาตุขันธ์ให้บริสุทธิ์
ธรรมดาของผู้บรรลุพระอรหันต์ ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกหรือพระอรหันต์ที่ท่านต้องมีภาระแสดงธรรมและต้องมีการพัฒนาความเจริญซึ่งต้องคลุกคลีกับผู้คนหรือปุถุชนมากมาย ท่านไม่มีเวลาฟอกธาตุขันธ์ เมื่อท่านดับขันธ์นิพพานไป บางท่านอัฐิก็ไม่กลายเป็นพระธาตุ
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเตือนพุทธบริษัทไว้ว่า “ไม่พึงตัดสินความเป็นพระอรหันต์ด้วยการมีอัฐิเป็นพระธาตุเสมอไป” เพื่อที่จะไม่หลงไปปรามาสพระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์บางประเภทด้วยความไม่รู้ ท่านจึงสอนให้กราบผ้าเหลืองเพื่อป้องกันไว้จนกลายมาเป็นประเพณี
ปู่ฤาษีไผ่ ได้อยู่อย่างซ่อนเร้นครองเพศเป็นฤาษี ไม่นำอภิญญาออกมาแสดงให้ใครต้องหลั่งไหลไปหาท่าน อันเป็นอุปสรรคต่อการเจริญฌานสมาบัติเพื่อฟอกธาตุขันธ์ในชีวิตอันเป็นบั้นปลายเมื่ออายุประมาณ ๑๐๐ ปี
สุดท้ายเมื่อลูกศิษย์ถามว่าจะจัดการเกี่ยวกับศพของท่านอย่างไร ท่านได้บอกว่า “อย่าเผาและอย่าฝัง จะได้ไม่ต้องอายเขา” ลูกศิษย์จึงเก็บศพท่านไว้ตามประเพณีและตามคำสั่งของท่าน
เวลาผ่านไป ๑๑ เดือน เมื่อเปิดดูศพของท่าน กลับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สรีระของท่านไม่มีการเน่าเปื่อยแม้แต่น้อย ผู้คนทุกสารทิศต่างหลั่งไหลพากันไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างไม่ขาดสาย สมกับที่วาจาสิทธิ์ของท่านก่อนจะทิ้งสังขารว่า “อย่าเผาและอย่าฝัง จะได้ไม่อายเขา” เพราะนี้คือการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อการรักษาพระศาสนา
เมื่อลูกศิษย์ทั้งหลายได้ปฏิบัติตามคำของครูบาอาจารย์ ก็ได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่และโด่งดังไปทั่วประเทศไทย ไม่ต้องอายใครทั้งโลกสมกับวาจาสิทธิ์ของท่านจริงๆ
มีผู้รู้อีกมากมายที่ท่านซ่อนตัวอยู่กับโลกแบบปู่ฤาษีไผ่ ท่านเหล่านั้นมักเป็นผู้ทรงอภิญญาและทรงคุณวิเศษ แต่เนื่องจากไม่มีเหตุและไม่ใช่วาสนาที่จะแสดงตัว ท่านก็ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆไม่แสดงคุณวิเศษภายในให้ใครล่วงรู้ นี้คือวิสัยของผู้รู้และผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งอย่างแท้จริง
พยัคฆ์ร้ายมักซุ่มซ่อนตัวอยู่ในขุนเขาพนาป่าทึบ ฉันใด พระอรหันต์หรือผู้รู้ทั้งหลายมักพอใจในชีวิตที่เรียบง่ายและซ่อนตัวอยู่ในที่สงบเงียบเป็นอุปนิสัย ฉันนั้น
สิ่งนี้คือกฎเกณฑ์ธรรมดาของผู้รู้ทั้งหลาย ที่ท่านไม่มีเหตุปัจจัยต้องมาเกื้อกูลหรือข้องเกี่ยวกับผู้คนตลอดมาตั้งแต่อดีตจวบจนสมัยปัจจุบัน
คุรุอตีศะ
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗