ความรักจะเป็นภูมิคุ้มกัน
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักจะเป็นภูมิคุ้มกัน
คนที่มีครอบครัว ไม่ควรคิดว่าการมีครอบครัวคือการสร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นทางการเงินหรือความก้าวหน้าเท่านั้น แต่ควรตระหนักว่าครอบครัวคือภูมิคุ้มกันของชีวิตที่สำคัญ ความรักความบริสุทธิ์ใจระหว่างสามีภรรยานั้น จะเป็นเกราะป้องกันอันตรายจากภายนอก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวัตถุเครื่องรางของขลังที่ผู้คนทั้งหลายต่างพากันนิยม
คนที่ครองคู่เป็นสามีภรรยา ในชีวิตจริงแล้วก็ไม่ใช่จะมีแต่กิเลสตัณหาหรือเอาแต่คลุกคลีกันอยู่ตลอดเวลา แต่ความเป็นสามีภรรยา ย่อมมีคุณธรรมบางอย่างที่สูงกว่าความสัมพันธ์ตามสัญชาตญาณระหว่างหญิงชาย จะมีทั้งความอบอุ่นใจ มีความจริงใจ มีความบริสุทธิ์ใจ มีความหวังดีปรารถนาดี มีพลังแห่งความเมตตากรุณามุทิตาอยู่ในนั้น ซึ่งหญิงชายที่มีความสัมพันธ์กันเพียงแค่ความสุขทางร่างกายจะไม่มีคุณค่าทางจิตใจหรือมีคุณธรรมในลักษณะแบบนี้
สามีภรรยาคู่ใดที่เข้าถึงความรักความปรารถนาดีต่อกันได้เช่นนี้ ความห่างไกลกันด้วยเหตุปัจจัยอันจำเป็นบางอย่าง จะไม่มีทางลดทอนความรักระหว่างหัวใจของคนทั้งสองได้ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรือคนสนิทจะไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือความรักในระดับนี้
ความรักในระดับนี้จะเป็นพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเป็นภูมิคุ้มกันของชีวิตโดยที่คนทั้งสองไม่จำต้องมีเครื่องรางของขลัง หัวใจของบุคคลที่เข้าถึงความรักในระดับนี้ จะมีความขลังอยู่ในตัวโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องราง แม้ไม่ได้แขวนพระเครื่อง เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะคุ้มครอง
พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในโลก ไม่มีสิ่งใดเกินกว่า “พลังแห่งความเมตตา” เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านอธิษฐานจิตประจุลงในวัตถุแล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยคุ้มกันผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุหรือภัยอันตรายทั้งปวงได้ ก็เกิดจากอานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของจิตและพลังเมตตาของท่าน นี้คือความต่างกันระหว่างอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของไสยเวท กับความศักดิ์สิทธิ์อันเกิดจากเมตตาจิตและความบริสุทธิ์ของพระอริยเจ้า
พลังแห่งความรักความเมตตานั้นเองทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมทรงคุณทรงความศักดิ์สิทธิ์ และมีฐานะเป็นเกจิอาจารย์อยู่ในตัวทุกองค์ เพียงแต่ท่านจะใช้พลังในส่วนใดในการเกื้อกูลอนุเคราะห์โลกและผู้คนไปตามวาสนาเท่านั้น
ความรักความเมตตาและความบริสุทธิ์ใจที่สามีภรรยามีต่อกัน ในระหว่างนั้นจะมีพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์และมีความอบอุ่นมีความมั่นใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง นั่นแหละคือคุณค่าของความเป็นสามีภรรยา ที่ยิ่งไปกว่าอำนาจของราคะความเสน่หาตามวิสัยของชีวิตสามีภรรยาตามปกติ ครอบครัวที่สามีภรรยามีความรักต่อกันเช่นนี้จะมีภูมิคุ้มกันอย่างยอดเยี่ยม
ความรักที่เป็นเกราะป้องกันหรือเป็นภูมิคุ้มกันของชีวิตเช่นว่านี้ ย่อมมีได้แม้แก่หญิงชายที่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง อย่างเช่นมาดามมารี คูรี่ เจ้าของรางวัลโนเบล แม้สามีผู้ร่วมกันคิดค้นจนค้นพบแร่ธาตุเรเดียมอันสำคัญจะตายจากไปนานแสนนาน แต่เธอก็ยังเขียนจดหมายถึงสามีของเธอทุกวันเสมือนหนึ่งว่าเขายังมีชีวิตอยู่โดยไม่เคยรักใครอีกเลย หัวใจของเธอเต็มเปี่ยมด้วยความรักและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ต่อไปจนเข้าสู่วัยชรา แล้วได้จากโลกนี้ไปด้วยหัวใจที่อบอุ่นมั่นคง
ความรักภายในครอบครัวย่อมเป็นปราการป้องกันภัยอันตราย และเป็นภูมิคุ้มกันอันสำคัญยิ่งนัก ดูตัวอย่าง มาลาลา ยูซัฟไซ เด็กสาววัย ๑๗ ปี ชาวปากีสถาน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี ๒๕๕๗ อันเกิดจากผลงานที่ได้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางการศึกษาของสตรีจนถูกยิงที่ศีรษะแล้วรอดตายมาได้ เธอก็ได้รับความอบอุ่นและกำลังใจจากพ่อและแม่ของเธอเป็นตัวหล่อหลอมอันสำคัญ
ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญโดยไม่หวั่นต่ออันตรายและความเป็นผู้มีสติปัญญาอันเหนือมนุษย์ ทำให้เด็กสาวมาลาลากลายเป็นเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
สำหรับในประเทศไทย ความรักความอบอุ่นภายในครอบครัว ได้เป็นภูมิคุ้มกันของชีวิตและสร้างชีวิตของเด็กสาวอีสานบ้านนอกวัย ๒๔ ปี คือ อะแมนด้า คาร์ ให้กลายเป็นนักกีฬาเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์หรืออินชอนเกมส์ที่เกาหลีใต้ จนเป็นนักกีฬาเหรียญทองที่มีคนรักทั้งประเทศไทยไปแล้วเพราะความจริงใจใสซื่อและความเป็นคนติดดินของเธอ
เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แต่พอลงจากเครื่องบินสัมผัสผืนแผ่นดินไทยเท่านั้น เธอก็พูดภาษาอีสานว่า “คักขนาด”คล่องปรื๋อ โดยไม่มีปมด้อยหรือรู้สึกว่าใครจะดูถูกดูแคลนว่าเป็นคนลาวคนบ้านนอกแต่อย่างใด
ความบริสุทธิ์ใจและความจริงใจ ที่เธอแสดงออกอย่างกล้าหาญและเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนพากันรักนักกีฬาจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์เจ้าของเหรียญทองลูกครึ่งหัวหยองคนนี้ และมีความสุขยิ้มได้ไปพร้อมกับความสำเร็จของเธอไปทั่วทั้งประเทศไทย
ความน่ารักของเธอก็คือ ความใสซื่อไม่มีมารยา กลับไปถึงอุดรธานีก็พาเพื่อนปั่นบีเอ็มเอ๊กซ์ทักทายชาวบ้าน หลังจากนั้นก็สาธิตการทอดแห การขุดไส้เดือนตกเบ็ดจับปลาตามประสาคนบ้านนอก โดยไม่มีการถือเนื้อถือตัวว่าเป็นนักกีฬาเหรียญทองแต่อย่างใด
พอมีน้องๆเยาวชน หรือผู้คนมาถามเคล็ดลับในการสร้างชีวิตให้พบกับความสำเร็จ เธอก็ตอบง่ายๆแต่มีความแยบคายยิ่งนักว่า “อิหยังดี กะเฮ็ดไปโลด อย่าลังเล เฮ็ดให้เต็มที่” (อะไรที่ดี ก็ทำไปเลย อย่ามัวลังเล ทำให้เต็มที่)
คำตอบของอะแมนด้า คาร์ หลายคนฟังแล้วอาจหัวเราะและคิดว่าเป็นคำพูดธรรมดาหรือพูดไปตามประสา แต่ความจริงแล้วคำตอบของเธอนับว่าไม่ธรรมดา เพราะตรงกับเคล็ดลับของคนสำคัญของโลกหลายคน ซึ่งมีหลักการในการสร้างความสำเร็จในชีวิตว่า “ต้องมีความมุ่งหมายในชีวิตให้แน่ชัด ทำในสิ่งที่ใจรักและถนัด มีหัวใจที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก และมีสมาธิตั้งมั่นในสิ่งที่ทำจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ”
อะแมนด้า คาร์ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน หัวหยอง หาบกล้า ดำนา ทอดแหหาปลาใช้ชีวิตติดดินไปตามประสาเด็กอีสานบ้านนอก นับว่าบิดารมารดาของเธอเลี้ยงลูกได้ดีมาก บิดาในฐานะคนอเมริกันที่เคยเป็นทหาร มาพบรักกับแม่ค้าขายส้มตำที่รับจ้างสารพัดไม่ว่าจะเป็นรับจ้างขุดดินตารางวาละ ๒.๕๐ บาทสมัยเมื่อสามสิบปีก่อน เพื่อนำเงินค่าจ้างไปเลี้ยงดูพ่อแม่พี่น้องในฐานะเป็นกำลังหลักของบ้านสมัยนั้น
ความกตัญญู ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร และความเสียสละ ที่นางละมูล มารดาของอะแมนด้า ได้บำเพ็ญไว้ต่อบิดามารดาและญาติพี่น้องของตนตั้งแต่ในสมัยยังเป็นสาวเรื่อยมานั้น ด้วยอานุภาพแห่งดวงจิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความกตัญญู นอกจากจะได้พบรักแท้จากทหารอเมริกันจนทำให้เขาสู่ขอตามประเพณีก่อนจะถอนทัพกลับไป
นางละมูลผู้ซึ่งไร้อนาคตและไม่มีวุฒิการศึกษาอันใด นอกจากดวงใจที่อยากให้พ่อและแม่ญาติพี่น้องมีความสุข แม้ตัวเองจะลำบากเพียงใดก็ยอม บัดนี้ผลบุญที่ทำไว้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ไปตามประสาซื่อตามหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ได้ส่งผลให้นางได้ลูกสาวที่เป็นคนดีมาเกิดและสร้างชื่อเสียงให้ทั้งแก่ตนและแก่ประเทศไทย ความดีนั้นได้ส่งผลอย่างเต็มที่ในวัย ๖๓ ปี
ความรักความอบอุ่นในครอบครัวคือภูมิคุ้มกันของชีวิตอันประเสริฐ มารดาของอะแมนด้าได้ปลูกฝังคุณธรรม การรักศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ และความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนไว้ในตัวลูกสาวได้อย่างน่าสรรเสริญ ฝ่ายบิดาก็อบรมความกล้าหาญในการกล้าแสดงออกกล้าทำในสิ่งที่ดี ปลูกฝังความกล้าหาญทางจริยธรรม กล้าฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบาก พ่อและแม่นั่นเองคือผู้หล่อหลอมและเป็นภูมิคุ้มกันให้แก่อะแมนด้าจนได้มีวันนี้
ในยามที่บ้านเมือง สังคม เศรษฐกิจอยู่ในภาวะไม่ปกติเช่นนี้ อย่าเอาสิ่งอื่นหรือคนอื่นมามีอิทธิพลหรือกดทับชีวิตของเราจนลืมเหลียวมองคนที่อยู่ใกล้ การที่เราคิดว่าเราต้องรับภาระหรือรับผิดชอบตามลำพังคนเดียว อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและว้าเหว่มากเกินไป บางทีบุคคลที่เราเคยคิดว่าคงจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่จะกลับเป็นกำลังใจและช่วยเหลือเราในยามคับขันอย่างไม่น่าเป็นไปได้ อาจเป็นคนที่อยู่ใกล้ๆเรานี้เอง
พลังแห่งความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ และความปรารถนาดีต่อกันในครอบครัว จะเป็นพลังศักดิสิทธิ์อันสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งปวงที่ไม่ควรมองข้ามในยามนี้ จงมอบความรักความศรัทธาและมอบความไว้วางใจให้แก่กัน ชีวิตนี้จะได้รับภูมิคุ้มกันและชนะอุปสรรคทั้งปวง
คุรุอตีศะ
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗