วิถีแห่งการปล่อยวาง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
วิถีแห่งการปล่อยวาง
ความเหนื่อยหนักทั้งปวง เกิดจากจิตยึดมั่นถือมั่นหลายสิ่งหลายอย่างไว้ ไม่ยอมให้มันเปลี่ยนแปลงและเป็นไปตามวิถีที่มันควรจะเป็น ชีวิตจึงสับสนวุ่นวายและจมอยู่กับความลังเลสงสัย มีแต่ความกลัดกลุ้มรุ่มร้อนอยู่ภายใน หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้
น้ำกำลังไหลบ่า แต่ก็พยายามจะกั้นไว้ ไม่ยอมปล่อยให้น้ำไหลไปตามวิถีที่มันเคยเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความวิตกกังวลทั้งเช้าและเย็น กลัวว่าเขื่อนที่กั้นไว้จะต้องพังทลายลงในสักวันหนึ่ง
พระอาทิตย์กำลังทอแสงอันเจิดจ้า แต่พยายามภาวนาขอให้วันนี้พระอาทิตย์อย่าเพิ่งส่องแสง ยิ่งสวดอ้อนวอนภาวนา แสงของดวงอาทิตย์ก็ยิ่งร้อนแรง ไม่ได้รับรู้บุคคลผู้กำลังพร่ำบ่นกราบกรานภาวนา ที่กำลังมีดวงตาหวาดหวั่นวิตกแม้แต่นิดเดียว
เมื่อมีความหนัก จงรู้จักวางสิ่งที่แบกอยู่บนสองบ่าลงเสียบ้าง ชีวิตวันพรุ่งนี้จะดีขึ้นในทันที หากวันนี้กล้าที่จะเดินบนวิถีแห่งการปล่อยวาง จากมืดก็จะกลายเป็นสว่าง จากที่เคยเคว้งคว้างไร้ทิศทาง ก็จะพบหนทางที่พยายามค้นหามาเป็นแรมปี
วางจิตอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวงเสียตั้งแต่วินาทีนี้ ไม่พยายามแสวงหาไขว่คว้าสิ่งใด ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ผลักไสและปฏิเสธต่อสิ่งใด ให้ทุกสิ่งเกิดและดับด้วยตัวมันเอง ไม่พยายามบงการสิ่งใด ปล่อยให้ทุกสิ่งคลี่คลายลงไปตามวิถีของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ
ตระหนักในความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง เข้าใจในความที่สรรพสิ่งมีความโยงใยต่อกันอย่างลึกซึ้ง หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความสมบูรณ์ของสิ่งต่างๆที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ก็จะพร่องหรือขาดหายไป
หากไม่มีคนชั่วคนเลวอยู่บนโลกใบนี้แล้วไซร้ คนดีจะมีความหมายอะไร คนดีหลายคนอาจรู้สึกว่าโลกนี้น่าเบื่อหน่าย และมองไปทางไหนช่างดูไร้ชีวิตชีวาก็อาจเป็นได้ ดังนั้น เมื่อมีคนดีปรากฏอยู่ ณ ที่ใด ย่อมต้องมีคนชั่วคอยเป็นมารให้คนดีฝึกตบะความอดทนเสมอ
ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวายในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ ทฤษฎีทางตะวันตกซึ่งมักเป็นคำตอบที่ตายตัวแบบฟันธง และมองสิ่งต่างๆแบบแยกส่วน จึงเป็นเหมือนการครอบงำทางความคิดที่ให้เราต้องเดินตามทางนั้น
ทฤษฎีมากมายของตะวันตกถูกลบล้างด้วยทฤษฎีใหม่อยู่เสมอ เมื่อเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบบางอย่างเปลี่ยนไป อันแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีเหล่านั้นไม่สามารถนำพาดวงจิตของมนุษย์ให้เข้าถึงความจริงอันสูงสุด สิ่งที่ได้จึงมีเพียงความสะดวกสบายทางวัตถุเทคโนโลยี
การที่สังคมของเราเดินตามทฤษฎีตะวันตกมายาวนาน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่รู้ว่าทฤษฎีที่เคยนิยมยกย่องเหล่านั้นใช้ไม่ได้ผลดีหรือเกิดทุกข์โทษหลายอย่างตามมา ก็ปรากฏว่าสังคมของเราได้เดินมาไกลเสียแล้ว การเปลี่ยนเส้นทางใหม่จึงเป็นการยากเย็นแสนเข็ญ และปัญหาของบ้านเมืองและสังคมก็ยังคงมีตกค้าง ต้องมีการชำระสะสางอีกมากเพื่อก้าวสู่ยุคใหม่
ทฤษฎีของทางตะวันตกเน้นการรุกไปข้างหน้า แต่ภูมิปัญญาแบบตะวันออกกลับเน้นที่การตั้งรับอันเป็นลักษณะของสมาธิและปัญญา
การรุกไปข้างหน้าจำเป็นต้องใช้ความเก่งกล้าหรือพละกำลัง ขณะที่วิธีการยอมรับ ใช้ความอ่อนโยน เมตตา มีน้ำใจและเคารพในศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ ใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน และให้เกียรติต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง
พฤติกรรมทางสังคมในปัจจุบัน ดูเหมือนเป็นกระบวนทัศน์แบบรุกไปข้างหน้ามุ่งจะครองโลกหรือมุ่งความเป็นเลิศอยู่เหนือคนอื่น จนบัดนี้ได้สร้างผลผลิตคือมนุษย์ต่างมุ่งแย่งชิงผลประโยชน์กันและมีความขัดแย้งไปทุกหย่อมหญ้า
ถึงเวลาที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับวีถีแห่งการยอมรับหรือการปล่อยวาง อันเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแบบถ่อมตน และมีความสุขกับความจริงของชีวิตในปัจจุบัน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับการยอมรับกับความเป็นจริง อันมีลักษณะโอบอุ้ม นุ่มนวล มีเมตตา และเข้าใจต่อความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ชีวิตไม่เคยบอกหรือเคี่ยวเข็ญเราเลยว่า ต้องได้เป็นที่หนึ่งเหนือคนอื่นหรือต้องแข่งขันกับคนอื่นเรื่อยไปจึงจะมีความสุข บางทีแม้เราสามารถคว้าเอาความเป็นที่หนึ่งได้โดยไม่ยาก แต่เรายอมให้คนอื่นได้ตำแหน่งที่หนึ่งไป สิ่งนั้นกลับเป็นความสุขและอบอุ่นอยู่ท่ามกลางความรักมากกว่า
วิถีแห่งการปล่อยวาง เป็นปรัชญาที่เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาและกล้าสวนกระแสโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ขัดแย้งกับโลก เพราะเข้าใจโลกและเข้าใจชีวิต เพราะอานุภาพแห่งสติคุ้มครองรักษา เหมือนใบบัวที่ยอมให้น้ำเกาะแต่ไม่สามารถซึมเข้าไปได้
วิถีแห่งการปล่อยวาง คือการวมเอาทุกสรรพสิ่ง การมีชีวิต ความรัก ความสุข ความว่าง ความสงบนิ่ง ความตาย รวมอยู่ในนั้นเป็นตัวปฏิบัติทั้งหมด
ผู้ที่เข้าถึงการปล่อยวาง ไม่ใช่ผู้ไม่ยอมทำการงานหรือไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งใด แต่คือผู้สามารถรับผิดชอบทำการงานได้อย่างยิ่งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความรู้ตื่นเบิกบานอยู่ภายใน โดยไม่ใส่ใจทั้งคำสรรเสริญหรือคำนินทาว่าร้าย เป็นการทำงานให้แก่โลกโดยไม่คิดเอาเข้ามาสู่ตัวเอง เป็นผู้มีความสุขทั้งในขณะทำการงาน และมีความเบิกบานเมื่อทำงานนั้นสำเร็จแล้ว
มีชีวิตอยู่กับความจริงในขณะนี้ ไม่ต้องหลีกหนีสิ่งใด และก็ไม่ต้องไขว่คว้าสิ่งใด จงตระหนักในความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งที่โยงใยต่อกันอย่างลึกซึ้ง
การปล่อยวาง วิถีทางและเป้าหมาย คือสิ่งเดียวกันที่สะท้อนให้เห็นทุกขณะของชีวิต ที่มีความกลมกลืน งดงามและมีคุณค่าในตัวเอง โดยไม่ต้องมีสิ่งใดบงการหรือจัดแต่ง
วิถีแห่งการปล่อยวาง จะเป็นดุจแสงสว่างนำทางให้แก่ชีวิตของเรา ลดความสับสนวุ่นวาย และเกิดสติปัญญาในการที่จะกล้าสลัดความหนักอึ้งบนบ่าสองข้างลงไปตามควร
เป็นเปลวเทียนแห่งชีวิต ที่เริ่มเรียนรู้นำไปสู่ความเรียบง่าย ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่สำคัญภายในตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นพลังอันสำคัญของชีวิต
เกิดความสงบ นิ่ง ว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เลื่อนไหลไปกับปัจจุบันกาลได้อย่างเต็มเปี่ยม
เป็นการเดินทางแบบไม่ต้องเดิน เป็นการปฏิบัติแบบไม่ปฏิบัติ เป็นการทำงานโดยไม่ต้องทำ เพราะทุกขั้นตอนคือการกระทำอันประกอบด้วยสติอันสมบูรณ์และเป็นอิสระอยู่ภายใน อย่างไร้อัตตา ไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดต่ำต้อยกว่าสิ่งใด
ปล่อยวางทุกสิ่งอยู่ภายในเงียบๆตามลำพัง แต่ภายนอกนั้นยังประกอบกิจการงานในหน้าที่ตามปกติและตามเหตุตามปัจจัย มีชีวิตอยู่ได้เสมอกับทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
เป็นการทำงานหรือการทำหน้าที่ซึ่งต่างจากชีวิตเดิมออกไป กลายเป็นการทำงานที่เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ทุกขณะที่อยู่เหนือคำอธิบาย เป็นการปฏิบัติธรรมที่เหนือรูปแบบใดๆ ที่อยู่กับความรู้ตื่นเบิกบานตลอดเวลา
คุรุอตีศะ
๒๓ กันยายน ๒๕๕๗