เราคือผู้สร้างโลก

เราคือผู้สร้างโลก

 

 

             มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า "มนุษย์ย่อมเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ที่มนุษย์หว่านไว้เอง"  ถ้าหากเราทุกข์ทนก็หมายความว่าเราได้เพาะหว่านเหตุแห่งความทุกข์ไว้  หามีผู้ใดสร้างความทุกข์ให้แก่เธอไม่

 

             หากยามใดเธอมีความสุข  ก็มิใช่เพราะใครอื่นเสกสรรแต่อย่างใด  แต่เพราะความสุขนั้นเกิดมีได้  ก็เพราะเราได้สร้างเหตุแห่งความสุขนั้นไว้ด้วยตนเอง

 

              แน่นอนว่า เพราะมีระยะเวลาคั่นอยู่ระหว่างการหว่านไถกับการเก็บเกี่ยวแล้วเราลืมเลือนไป  จึงทำให้เรานึกไปว่าปัญหาและความทุกข์เหล่านั้นเกิดจากความผิดของคนอื่น

 

               เพราะเหตุที่มีกาลเวลาคั่นกลางระหว่างการหว่านและการเก็บเกี่ยว  จึงทำให้ผู้คนไม่เข้าใจและสับสนในกฎแห่งกรรม  ต่างมักพากันลังเลสงสัยในการให้ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว  ช่วงแห่งการเวลานั้นเองที่ทำให้เราหลงลืมและเข้าใจผิดต่อวิถีชีวิตและวิถีแห่งกรรมของผู้คน

 

            เราเองคือผู้สร้างโลกใบนี้   สิ่งที่เราเผชิญทั้งดีและร้าย  ล้วนเกิดมาจากผลแห่งการกระทำในอดีตที่เราหลงลืมไปแล้วทั้งสิ้น   ดังนั้น  เธอจงกล้าหาญและยอมรับความจริง  หลังจากนั้นทุกสิ่งทั้งดีและร้าย จะค่อยๆคลี่คลายไปโดยตัวของมันเอง  จงอย่าวิตกกังวลจนเกินไป

 

           จงรับผิดชอบต่อชีวิตอย่างเต็มที่  แม้ว่าจะเป็นความน่าเกลียดน่ากลัว ความเลวร้ายหรือความระทมขมขื่นก็ตาม  ในตอนแรกคงจะเป็นการยากที่จะยอมรับว่า "ตัวฉันเองเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ที่กำลังแผดเผาอยู่ขณะนี้"  แต่ก็จะเป็นการยากลำบากในตอนแรกๆเท่านั้น  ในไม่ช้าประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นจะเปิดออก

 

           เธอจะเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อตัวเองขึ้นมาว่า ในเมื่อฉันเป็นคนสร้างนรกขึ้นได้  ฉันก็ย่อมเป็นผู้สร้างสวรรค์ได้เช่นกัน  ถ้าหากฉันก่อทุกข์อันมากมายขึ้นมาได้  ฉันก็ย่อมก่อปีติสุขขึ้นในชีวิตได้เช่นกัน

 

                ความกล้าหาญและความรับผิดชอบในหัวใจเยี่ยงนี้  จะชักนำเสรีภาพและอิสรภาพเข้ามาสู่  ความรับผิดชอบย่อมก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ขึ้น  นี้คือโลกใบนี้ที่เราสร้างด้วยมือของเราเอง

 

                  เมื่อใดก็ตามที่เธอแลเห็นว่าสิ่งใดที่เธอเป็นก็คือสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาเอง  เธอจะเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของจิตเดิมแท้และเริ่มสัมผัสความเป็นอิสระจากเหตุปัจจัยภายนอกทั้งปวง

 

                 เธอจะเริ่มมองเห็นฟ้าสีทองของวันใหม่ว่า บัดนี้เงื่อนไขของชีวิตทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับตัวเธอ  เธออาจขับขานบทเพลงแห่งธรรมชาติที่งดงาม  อาจเริงรำไปกับความพลิ้วไหวของใบไม้และสายลม

 

                อาจใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์สดใส  อย่างเปี่ยมสุขและเบิกบาน  ที่ไม่มีผู้ใดสามารถรบกวนเธอได้อีกต่อไป   เพราะนี้คือความเริงรำแห่งหัวใจที่เข้าถึงความสุขภายในที่รู้ ตื่นเบิกบาน  อย่างไร้กาลเวลา

 

              นี้คือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์  สรรพสิ่งทั้งมวลย่อมเคารพในปัจเจกภาพคือเคารพในความเป็นตัวเองของสรรพสิ่งเช่นเดียวกัน  และบุคคลจะถึงความเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเขามีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างเต็มเปี่ยม

 

             มนุษย์ย่อมเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ที่ตัวเองหว่านไว้  ความสุขความทุกข์  ความดีงามหรือความเลวร้าย  ที่เราทั้งหลายได้ประสบหรือเผชิญในแต่ละวัน  ทุกเหตุการณ์ล้วนคือพืชพันธุ์ที่เราต่างได้เคยเพาะหว่านทิ้งไว้ในอดีตที่เราได้ลืมไปแล้ว

 

           จงยอมรับและปล่อยให้มันผ่านเข้ามา อีกไม่นานมันก็จะผ่านไป  ไม่มีสิ่งใดที่ควรแก่การผลักไส ไม่มีสิ่งใดควรต้องดึงรั้งไว้  ปล่อยให้สายธารของชีวิตผ่านหน้าเราไป ด้วยความเข้าใจในวิถีแห่งสรรพสิ่งที่ไม่อาจยึดมั่นสิ่งใดได้เลย

 

 

                                                                  ดาบสนิรนาม

                                                           ๑๔  มิถุนายน  ๒๕๕๗