ภูมิชั้นของจิต
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ภูมิชั้นของจิต
วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะถึงกาลเข้าพรรษา จึงอยากพาพวกเธอทั้งหลายที่มีศรัทธาและพากเพียรศึกษาธรรมะเป็นลำดับมา มาศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามหลักพระไตรปิฎกดูบ้าง เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูพระปริยัติธรรม อันเป็นการจรรโลงพระศาสนาประการหนึ่ง
เธอทั้งหลายเคยทราบหรือไม่ว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและแบ่งภูมิจิตของคนเราเป็น ๔ ระดับด้วยกัน คือ
๑.กามาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามารมณ์ ยังยินดีพอใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับกามคุณคือรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่ถูกใจ ซึ่งได้แก่ภูมิจิตของคนสามัญทั่วไป
๒.รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิชั้นของจิตที่ท่องเที่ยวและมีความสุขมีความพอใจในอารมณ์ของรูปฌาน ได้แก่ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิหรือสมถภาวนามามากจนกระทั่งได้รูปฌาน คือบรรลุฌานที่หนึ่งจนถึงฌานที่สี่ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจกามารมณ์ จิตอิ่มเอิบอยู่ในสมาธิ ซึ่งเป็นสุขประณีตกว่ากามารมณ์ เป็นเหมือนพระพรหมอยู่บนดิน เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะไปเกิดเป็นรูปพรหมในพรหมโลก
นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มักต้องการได้ภูมิจิตประเภทนี้ เพราะไม่อยากเป็นทุกข์จากการมีความต้องการทางเพศ จึงพยายามบำเพ็ญสมาธิเพื่อข่มกามารมณ์ไม่ให้ฟูขึ้นมา นักกัมมัฏฐานทั้งหลายจึงมักติดอยู่ในภูมิจิตระดับนี้ ติดความเข้มงวดเคร่งครัดในการปฏิบัติ ติดการเดินจงกรมนั่งสมาธิว่าจะต้องทำจะต้องปฏิบัติตลอดเวลา เพราะกลัวว่ากิเลสจะท่วมทับหัวใจจึงต้องบำเพ็ญสมาธิเพื่อทรงฌานไว้เสมอ โดยเฉพาะพระกัมมัฏฐานหรือพระป่าที่ขาดครูบาอาจารย์สอนการยกจิตจากฌานขึ้นสู่วิปัสสนา หรือสอนการเจริญสติอย่างถูกต้อง จึงไม่สามารถเข้าสู่ภูมิจิตของพระอริยบุคคลได้ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก
ผู้ที่แสดงฤทธิ์หรืออิทธิปาฏิหาริย์ได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ทรงภูมิจิตระดับนี้ จนกว่าจะเข้าสู่อริยภูมิจึงจะมองเห็นทุกข์โทษของการแสดงฤทธิ์ว่า ทำให้ผู้คนมาหลงติดและหลงใหลในตัวเอง ทำให้พวกเขาสิ้นความเป็นตัวของตัวเองและห่างไกลจากการเข้าสู่การรู้แจ้งในสัจธรรม เพราะมัวแต่ตื่นเต้นอัศจรรย์หรือติดในฤทธิ์ที่ผู้นั้นแสดงจนขาดการเจริญสติอย่างถูกต้อง
ผู้รู้แจ้งในสัจธรรมที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์บางองค์บางท่าน แม้มีอภิญญาและมีฤทธิ์มาก แต่เมื่อต้องมาอยู่กับผู้คน ท่านก็ไม่แสดงฤทธิ์ ก็เพื่อประโยชน์ในการแสดงธรรมเพื่อให้ผู้คนเข้าใจ อันจะเป็นหลักใจให้เขามีที่พึ่งของตัวเองที่แท้จริงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวของเขาเองมากกว่า บางท่านก็อธิษฐานปิดกั้นฤทธิ์ของตัวเองที่บรรลุตั้งแต่อยู่ในป่าเมื่อต้องมาอยู่ในท่ามกลางผู้คนก็มี สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตยซึ่งพวกเราทั้งหลายยากจะทำความเข้าใจต่อวิสัยของผู้มีฌาน
อนึ่ง สำหรับบางองค์บางท่านที่มิได้มุ่งบรรลุมรรคผลหรือมุ่งความหลุดพ้นในชาติปัจจุบันนี้ แต่มุ่งบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านอาจนำอิทธิฤทธิ์มาใช้เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนในด้านต่างๆก็ได้
ส่วนบางท่านที่ทรงภูมิจิตเป็นอริยบุคคลชั้นหนึ่งชั้นใด และมีอภิญญาประดับบารมี ส่วนใหญ่ท่านก็มักไม่ปรารถนาที่จะแสดงฤทธิ์เอง แต่ปล่อยให้เทวฤทธิ์หรือนาคฤทธิ์ทำหน้าที่แทน เพราะท่านเบื่อหน่ายในอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว สนใจแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือการพร่ำสอนแจกแจงแสดงธรรมให้แก่ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยเป็นหลัก ซึ่งผู้คนทั่วไปอาจเข้าใจว่าท่านไม่มีฤทธิ์ไม่มีอภิญญาก็ได้ จึงนำมาเล่าให้เธอทั้งหลายได้ประดับเป็นความรู้ไว้ จะได้ไม่เผลอไปดูหมิ่นดูแคลนครูบาอาจารย์บางท่านว่า ท่านเอาแต่แสดงธรรมคงไม่มีอภิญญาอะไร
ภูมิจิตในระดับรูปาวจรภูมินี้ ส่วนใหญ่เป็นจิตของพระกัมมัฏฐานหรือพระป่าตลอดทั้งนักปฏิบัติทั้งหลายทั้งที่เป็นนักบวชหรือฆราวาส ที่ท่านเหล่านั้นบรรลุสมาธิถึงขั้นอัปปนาคือได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตตถฌาน แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านั้นจะต้องเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา จนกว่าจะรู้จักการเจริญสติได้อย่างถูกต้องจนภูมิจิตเลื่อนชั้นเข้าสู่โลกุตรภูมิ กลายเป็นพระอริยบุคคล อันเป็นภูมิจิตชั้นที่ ๔ ที่จะกล่าวต่อไป
๓.อรูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่มีความสุขอยู่ในอรูปฌาน ซึ่งมีอารมณ์ที่ประณีตยิ่งกว่ารูปฌาน ภูมิจิตชั้นนี้พวกเรามักจะไม่ค่อยได้ยินหรือคุ้นหูเท่าไรนัก เพราะเป็นภูมิจิตที่เมื่อละโลกนี้ไป จะทำให้ไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม คือเป็นพระพรหมที่ไม่มีรูปมีแต่จิต เป็นภูมิที่มีเพียง ๔ ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเท่านั้น ส่วนพวกเรานั้นเป็นมนุษย์มี ๕ ขันธ์ จึงยากจะทำความเข้าใจในภูมิจิตของอรูปพรหม จึงขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้
๔.โลกุตรภูมิ เป็นภูมิจิตที่พ้นจากโลกของปุถุชนแล้ว แม้กายจะอยู่ปะปนกับปุถุชนคนทั่วไป เป็นภูมิจิตที่มีความสุขอันละเอียด ประณีต ลึกซึ้งมาก ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
ภูมิจิตของพระอริยบุคคลนี้แหละที่หลายคนไปสับสนกับภูมิจิตของผู้บรรลุฌาน อันเป็นภูมิจิตชั้นที่ ๒ ที่พรรณนามาอย่างยืดยาวข้างต้น อย่างเช่น ผู้ที่บรรลุฌานอาจไม่เกิดความรู้สึกทางเพศเลยตลอดระยะเวลาที่สมาธิที่ได้ยังไม่เสื่อม เช่น ๕ ปี ๑๐ ปี แต่ถ้าสมาธิหรือฌานเสื่อมลงเพราะเหตุหนึ่งเหตุใด ผู้นั้นจะมีราคะและมีความโกรธหนักกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ พระพุทธองค์จึงตรัสเปรียบเทียบการนั่งสมาธิว่าเป็นเหมือนหินทับหญ้า เมื่อยกก้อนหินออกวันใดหญ้าก็งอกขึ้นมาใหม่ ต้องเจริญวิปัสสนาหรือเจริญสติปัฏฐานจึงจะชำระกิเลสได้เด็ดขาด
ผู้บรรลุฌานที่ไม่ได้ฟังการเจริญสติปัฏฐานและดำเนินจิตอย่างถูกต้อง มักเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์หรือพระอนาคามี เพราะกามราคะจะไม่รบกวนเลยในระหว่าที่สมาธิยังทรงตัวอยู่ บางคนอยู่ได้เป็น ๑๐ ปี ฌานจึงเสื่อม จึงมารู้ภายหลังว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตของตนยังไม่ได้เข้าถึงอริยภูมิแต่อย่างใด นี้คือโทษของการติดในสมาธิที่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านเตือนไว้ เพื่อให้ผู้ที่ได้สมาธิหรือได้ฌานแล้วต้องรีบเจริญวิปัสสนาเพื่อรู้แจ้งในสัจธรรมต่อไป
ส่วนจิตของพระอริยบุคคลนั้น จะต่างจากจิตของผู้ได้ฌานตรงที่ หากเป็นจิตในระดับพระโสดาบันบุคคล ท่านก็ยังมีราคะ มีโทสะ มีโมหะอยู่ตามความเป็นจริง แต่เป็นจิตเหนือโลกเพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำสามข้อได้แล้ว มีผลทำให้หากยังไม่สิ้นกิเลสในชาตินี้ เมื่อต้องกลับมาเกิดใหม่ ก็จะเกิดไม่เกิน ๗ ชาติก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ และจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเท่านั้น ไม่ต้องตกลงสู่อบายเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกอีกแล้ว
จิตของท่านมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่มีการคลอนแคลนอีก ไม่ลังเลสงสัยในกฎแห่งกรรมหรือผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ยิ่งถ้าอยู่ในเพศฆราวาสด้วยแล้ว คนใกล้ชิดญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมิตรสหายหรือคนทั่วไปอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่าอยู่ใกล้พระอริยบุคคล จะต่างจากคนทั่วไปให้พอสังเกตได้บ้าง ก็ตรงที่มีความเลื่อมใสมั่นคงต่อพระศาสนาที่หนักแน่นมั่นคงจนตลอดชีวิต เป็นคนใจดีใจบุญหรือสร้างกุศลได้อย่างไม่เบื่อไม่หน่าย แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อมุ่งมีชื่อเสียงความมีหน้ามีตาแบบคนทั่วไป ทั้งไม่ได้มุ่งทำบุญเพื่อไปเกิดในสวรรค์หรือต้องการเกิดเป็นมหาเศรษฐีต่อย่างใด แต่ต้องการค้ำจุนจรรโลงพระศาสนา หรือมุ่งชำระใจของตนให้ผ่องใสเพื่อไร้อัตตาเป็นสำคัญ
ขอให้เธอทำความเข้าใจไว้ง่ายๆว่า คนมีฌานหรือบรรลุสมาธิหรือมีอิทธิฤทธิ์ อาจไม่ใช่พระอริยบุคคลก็ได้ ส่วนพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอนาคามีนั้น ท่านอาจไม่บรรลุฌานก็ได้ แต่ท่านจะมีฤทธิ์เพราะเทวดาหรือพระยานาคอำนวยช่วยเหลือในการทำงานพระศาสนา หรือในการทำสิ่งใดที่จิตมุ่งเกื้อกูลผู้คนหรือประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงมีอำนาจิตและมีความพิเศษเหนือกว่าคนทั่วไปปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ
สรุปได้ว่า ภูมิชั้นของจิตของสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์นี้มี ๔ ระดับ ชั้นแรกคือ กามาวจรภูมิ อันเป็นภูมิจิตที่ยินดีพอใจในกามารมณ์ตามวิสัยของปุถุชนคนทั่วไป ผู้คนส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ล้วนมีภูมิจิตอยู่ในระดับนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นเธอทั้งหลายจงได้อย่าได้แปลกใจว่า เหตุใดผู้คนส่วนใหญ่จึงพากันหลงใหลใน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติกันทั่วทั้งโลกจนน่าตกใจ แม้แต่พวกเราเองนี้หากวันใดไม่ได้เจริญสติหรือสร้างกุศลประคองใจ เราก็อาจตกเป็นสมาชิกรวมกลุ่มอยู่กับพวกเดียวกันกับเขา ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจได้ด้วยเหมือนกัน
ส่วนภูมิจิตระดับที่สองและสาม คือรูปาวจรภูมิและอรูปาวจรภูมินั้น มีผู้บำเพ็ญกันมาก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้แล้ว ปุถุชนผู้เคยลุ่มหลงในกิเลสมาก่อน เมื่อคิดจะปฏิบัติธรรมแล้วพยายามจะทำสมาธิเพื่อกำจัดความรู้สึกทางเพศจึงมีให้เห็นกันอยู่โดยทั่วไป สิ่งนี้เองคือการปฏิบัติสุดโต่งสองด้านที่ท่านห้ามมิให้ทำคือ กามสุขัลลิกานุโยคกับอัตตกิลมถานุโยค
การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่โลกุตรภูมิ จึงต้องดำเนินจิตไปบนทางสายกลาง คือหมกมุ่นมัวเมาในกามารมณ์อย่างสุดเหวี่ยงก็ไม่ใช่ จะบีบคั้นบังคับตัวเองจนเคร่งเครียดเกินไปก็ไม่ใช่อีก แต่คือการไม่ดิ้นรนไขว่คว้าต่อสิ่งใด ในขณะเดียวกันก็ไม่บีบบังคับตนเองเพื่อให้ได้ดั่งใจหรือไม่ผลักใสสิ่งใดด้วยความรังเกียจชิงชัง ไม่ดึงดันเหนี่ยวรั้งไว้และไม่ผลักไสชิงชัง นั่นแหละคือทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา
เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา จึงไม่ใช่การมุ่งหน้าทำสมาธิเพื่อเป็นพระพรหมผู้ข่มราคะ ข่มโทสะด้วยอำนาจของฌานก็หาไม่ แต่คือการมีสติระลึกรู้ความเป็นจริงในขณะนี้เรื่อยไป แล้วดำเนินชีวิตไปตามปกติและอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
หากเธอมีภูมิจิตยังไม่ใช่พระอนาคามี เธอจะฝืนหรือบังคับตัวเองเพื่อไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศหรือไม่โกรธใครย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระโสดาบันบุคคลอย่างนางวิสาขาท่านก็ยังมีราคะและร้องไห้เมื่อหลานสาวถึงแก่ความตาย แล้วเหตุใดเธอจะไม่รู้สึกดีใจเสียใจ หรือสมหวังผิดหวัง อันเป็นของมีอยู่ประจำโลกในชีวิตแห่งความเป็นจริง
จงยิ้มรับความสมหวังความผิดหวังที่บังเกิด อย่าหวังเล็งผลเลิศเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจซึ่งฝืนต่อความจริงตามกฎพระไตรลักษณ์ เมื่อผิดหวัง เธอจะร้องไห้เพื่อให้น้ำตาไหลออกมาบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่จงร้องไห้พร้อมกับรู้ตัวขณะที่น้ำตากำลังไหลอาบแก้มลงไป เพียงเท่านี้เธอก็ได้อยู่ใกล้พระพุทธองค์แล้ว
เมื่อเราได้ทราบหลักของพระปริยัติธรรมตามพระไตรปิฎก เธอจะพบว่าบัดนี้เธอกำลังใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต เพื่อดำเนินจิตในภูมิชั้นระดับที่ ๔ นับว่าเธอทุกคนเป็นผู้มีบุญวาสนายิ่งนักแล้ว จงอย่าคิดน้อยอกน้อยใจว่าตนเป็นคนอาภัพอับโชคหรือด้อยวาสนาเป็นอันขาด
ขอให้เธอทั้งหลายจงโชคดี ได้มีดวงจิตเข้าถึงอริยภูมิอย่างน้อยคือการบรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคลในชาตินี้
ขอให้ความรักอันสูงส่งงดงามและจิตเดิมแท้ จงสถิตมั่นอยู่ในดวงใจของเธอตลอดไป
ดาบสนิรนาม
๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗