ลักษณะของคนมีบุญ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ลักษณะของคนมีบุญ
ยุคที่ ๙ คือยุคถิ่นกาขาว กำลังจะผ่านไป ตามคำทำนายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) ซึ่งลูกศิษย์อุปัฏฐากก้นกุฏิผู้ใกล้ชิดคือนายอาญาราช (อิ่ม) พบเป็นเศษกระดาษเขียนด้วยลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จฯซุกไว้ใต้เสื่อ ในวันที่ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตอนเวลาเที่ยงคืน เมื่อ ๑๔๒ ปีล่วงมาแล้ว
บ้านเมืองกำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่คือยุคที่ ๑๐ อันเป็นยุคที่ท่านทำนายไว้ว่าเป็นยุคศิวิไลซ์ ที่ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองตามอย่างนานาอารยประเทศอย่างแท้จริง
ยุคถิ่นกาขาวย่อมมีความสับสนวุ่นวายเป็นธรรมดา เพราะเป็นยุคที่คนทั้งหลายพากันหลงเข้าใจผิดคิดว่ากาคือหงส์ เข้าใจว่าหงส์คือกา อันเป็นยุคที่เรียกว่า “ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม”
ยุคถิ่นกาขาวย่อมหลงผิดยกย่องผู้ไม่มีคุณธรรมอย่างแท้จริงว่าเป็นผู้มีคุณธรรม ส่วนผู้มีบุญมีเดชอย่างแท้จริงนั้น จะถูกให้ร้ายป้ายสีและถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคนเลวคนชั่วในสายตาของคนทั้งหลาย เพราะเป็นธรรมดาที่กาขาวย่อมไม่ต้องการให้ใครรู้จักว่าหงส์ที่แท้จริงคืออย่างไร มิฉะนั้น คนจะพากันรู้ธาตุแท้ของตนว่า แท้ที่จริงนั้น ตนเองนั้นมิใช่หงส์แต่คือกา
ในยุคถิ่นกาขาวนี้ พระสงฆ์ที่มีบุญบารมีแต่ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของผู้มีอำนาจ ย่อมถูกทำลายชื่อเสียงด้วยวิธีการต่างๆ ในยุคสมัยของพวกเรานี้จึงได้ยินแต่เรื่องราวที่มัวหมองและไม่ดีทั้งเรื่องจริงและเท็จ เพื่อให้ผู้คนพากันหมดศรัทธาต่อศาสนา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวไว้ว่า “ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม ความระทมจะถมทับนับเทวษ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวเราะร่าทำท่าดัง”
แต่ไม่ว่าเราจะประสบพบเจอเรื่องราวดีร้ายแค่ไหนเพียงใด เราจงมีสติและมั่นคงในคุณธรรมความดีไว้ดุจเกลือรักษาความเค็มของเกลืออยู่เสมอ แม้การทำเช่นนั้นบางครั้งอาจต้องรักษาคุณความดีท่ามกลางความบีบคั้นกดดันและต้องมีน้ำตาไหลออกมา แต่เมื่อต้องการรักษาคุณชาติแห่งความเป็นคนจริง เราต้องไม่หวั่นไหวและยึดมั่นในคุณธรรมไว้เสมอ ดังมีคำประพันธ์ของท่านผู้หนึ่ง ซึ่งขอยกมากล่าวไว้ในที่นี้ ความว่า
จะสูงศักดิ์อัครฐานสักปานใด
จะวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี
จะเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี
หากไม่มีคุณธรรมก็ต่ำคน ฯ
ไม่ว่าในช่วงที่ชีวิตที่ผ่านมา เราจะประสบปัญหาหรือสิ่งเลวร้ายสักแค่ไหน หากเรายังศรัทธาในความดีงามและมั่นคงในคุณธรรมอยู่เสมอแล้วไซร้ เราจะเป็นคนหนึ่งที่ก้าวผ่านยุคถิ่นกาขาวไปอย่างภาคภูมิใจและสง่างาม
ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างนี้ ไม่มีหนทางอื่นใดจะประเสริฐเท่ากับหนทางของพระพุทธองค์และปวงเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย หนทางของการเมืองและวิถีของโลกไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดย่อมเต็มไปด้วยความวุ่นวายเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว ดังนั้น ต่อจากนี้ขอให้เราทั้งหลายจงหันมาสนใจชีวิตของพระอริยเจ้าผู้มีดวงจิตยืนอยู่เหนือโลก เพื่อน้อมนำเอาธรรมะของท่านมาเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจของเราในยามนี้
พวกเรามักสนใจนิยมยกย่องแต่คนเก่งคนมีความรู้มีความสามารถ แต่ไม่ค่อยได้ยินใครสนใจหรือพูดถึงคนมีบุญเหมือนคนสมัยก่อนกันอีก ดังนั้นสังคมจึงมีแต่ความวุ่นวาย เพราะเหล่าคนมีความรู้ความสามารถทั้งหลายสมัยนี้ต่างแข่งดีและทะเลาะเอาชนะคะคานกัน
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระอริยเจ้าชั้นสูงผู้มีดวงจิตบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ได้กล่าวถึง “ลักษณะของคนมีบุญ” ในพระธรรมเทศนาตอนหนึ่งมีความว่า
“..คืออานุภาพแห่งบุญกุศลนี้ มันเป็นไปเพื่อความสงบ เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีบุญมากขึ้นมาแล้วก็สงบ ไม่ชอบวุ่นวาย นี้เป็นลักษณะของผู้มีบุญมาก
เราต้องเอาเรื่องนี้แหละเป็นเครื่องวัด จะเอาแต่เงินแต่ทองข้าวของมากมายนั้นมาเป็นเครื่องวัดว่าเป็นคนมีบุญมาก อย่างนั้นดูจะไม่ถูกเท่าไรนัก แต่ก็มีถูกอยู่บ้าง
แต่ถ้าจะให้ถูกตรงจริงๆแล้ว มันต้องหมายเอาบุคคลผู้ที่เบื่อหน่ายต่อความวุ่นวาย ต่อความเละเทะต่างๆในโลก แล้วก็ยินดีแสวงหาความสงบทางจิตใจ นี่..อันนี้จึงเป็นที่แน่นอนว่า เป็นคนมีบุญมากจริง
เพราะว่าบุญนี้มีลักษณะเป็นของสงบ ของเย็น ...ไม่ได้เป็นของร้อน ดังนั้น เมื่อบุคคลใดมีบุญมากๆเข้าไปแล้ว มันจึงชอบแต่ความเยือกเย็น ความทะเลาะวิวาทถกเถียงอะไรก็ไม่ชอบ
คนมีบุญมากนะ...ชอบแต่ความปรองดองสามัคคี ความชื่นชมยินดีต่อกันในการกระทำความดี....”
ดูเอาเถิด.. คำพูดหรือธรรมะที่กลั่นออกมาจากใจที่ใสบริสุทธิ์สะอาดของพระอริยเจ้า ย่อมนำมาซึ่งความสงบและชุ่มเย็นในหัวใจเช่นนี้ แม้หลวงปู่ผู้มีดวงจิตอยู่เหนือโลกได้แสดงธรรมะนี้ไว้ล่วงเลยเวลามาถึงสามสิบปี แต่พระธรรมเทศนาบทนี้ก็ยังทันสมัยและนำความสงบร่มเย็นมาสู่หัวใจของผู้คนที่ได้ยินได้ฟัง
นี้คือคุณของพระอริยเจ้า ที่เราทั้งหลายพากันน้อมเศียรกราบไหว้บูชาด้วยความเอิบอิ่มปลื้มอกปลื้มใจ พระอริยเจ้าทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าช่วยอนุเคราะห์ค้ำจุนโลกนี้ไว้เสมอมา
หลายสิบปีที่ผ่านมา เราได้พากันยกย่องผู้มีการศึกษา คนร่ำรวย คนมีเกียรติมีอำนาจ หรือผู้มีความรู้ความสามารถ แม้ผู้นั้นจะขาดคุณธรรม จนกระทั่งสังคมและบ้านเมืองถึงทางตันและเดินมาสู่ความมืดมิดกันมากพอแล้ว
ต่อไปนี้จงหันมาสร้างสรรค์ตัวเราเองให้เป็นคนมีบุญ ตามคำที่พระอริยเจ้าท่านพร่ำสอนกันดีกว่า จงหันมาเจริญสติสมาธิภาวนา เพื่อเดินตามรอยพระอริยเจ้าผู้ข้ามฝั่งไปก่อนพวกเราแล้ว เพื่อความเป็นผู้มีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
ความเป็นผู้มีความรู้ความสามารถหรือมีการศึกษา ย่อมนำมาซึ่งความมีชื่อเสียง ลาภยศ ความมีเกียรติมีตำแหน่งฐานะที่มั่นคง เป็นเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นผู้ประสบความสำเร็จในทางโลกตามที่นิยมชื่นชมกันโดยทั่วไป
ส่วนเส้นทางของบุคคลผู้มีลักษณะมีบุญ คือเส้นทางแห่งความสงบ ไม่วุ่นวาย เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองแห่งสติปัญญา เส้นทางสายนี้น้อยคนนักที่จะเลือกเดิน
ลักษณะของผู้มีบุญที่หลวงปู่แสดงไว้ในพระธรรมเทศนานี้ คือเส้นทางที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่เหนือกว่าเส้นทางของคนมีความรู้ความสามารถ หรือคนมีการศึกษาในทางโลกมากนัก
ลักษณะของผู้มีบุญชั้นต้น เรียกว่าพระโสดาบัน ส่วนท่านที่มีบุญสูงสุดนั้นคือพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง
เราจงมาพัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนลักษณะของผู้มีบุญไปทีละน้อย หมั่นเจริญสติภาวนาไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด
แล้วชีวิตของเราจะก้าวสู่ยุคใหม่ อันเป็นยุคชาวศิวิไลซ์ ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งผู้มีบุญและมีคุณธรรมอย่างแท้จริง
คุรุอตีศะ
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗