มืดสนิทก่อนจะรุ่งสว่าง

มืดสนิทก่อนจะรุ่งสว่าง

 


               เมื่อใกล้เวลาจะรุ่งอรุณของวันใหม่  ย่อมเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของค่ำคืนนั้นก่อนเสมอ เหตุการณ์บ้านเมืองหรือชีวิตของมนุษย์เราก็เช่นกัน  ก่อนจะผ่านพ้นอุปสรรคและถึงวันแห่งความสำเร็จตามที่หวัง  มักต้องได้ผ่านช่วงมรสุมหรือพายุอันเลวร้าย ก่อนนาวาชีวิตอันกล้าแกร่งจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง


               ในช่วงเวลาเช่นนี้  อาจต้องพูดเรื่อง “ธรรมะกับการเมือง”บ่อยสักหน่อย  เพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการเมืองได้กระทบกับชีวิตจิตใจและความเป็นอยู่ของทุกคนโดยทั่วหน้ากัน  สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราในสถานการณ์เช่นนี้นั้น  จึงอยู่ที่ว่าเราสมควรจะวางจิตอย่างไรที่จะไม่เป็นการซ้ำเติมประเทศชาติบ้านเมืองและรักษาขวัญและกำลังใจของตนไว้ได้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคม


              ผู้ที่ได้เห็นความสำคัญของธรรมะและมีศรัทธา แล้วพยายามฝึกฝนสติภาวนาตามที่สอนเป็นลำดับมา  โอกาสเช่นนี้จะเกิดความตระหนักและมองเห็นคุณค่าของการเจริญสติว่าเป็นสิ่งมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อชีวิตและเป็นที่พึ่งภายใน ที่น้อยคนนักจะรู้จักที่พึ่งอันประเสริฐที่หาได้ยากเช่นนี้ได้


             ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะนิยมชมชอบฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างไร  แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพึงตระหนักไว้ก็คือ เราทุกคนคือคนไทยและพำนักอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ต่างมีความรู้สึกนึกคิด มีความดีใจเสียใจ สมหวังผิดหวัง หัวเราะร้องไห้ ในฐานะเป็นคนไทยและเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับทุกคน


              จะโกรธจะเกลียด  จะเคียดแค้นชิงชังกันสักแค่ไหน  ก็อย่าถึงขั้นมุ่งร้ายหรือมุ่งห้ำหั่นกันเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล่มจมลงไป  อันเกิดจากการตกเป็นทาสความลำเอียงและความอาฆาตพยาบาท ซึ่งจะถูกวิบากกรรมตีกลับให้ตัวเราเองต้องย่อยยับด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งในภายภาคหน้า  ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าและมีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่สักเพียงใด  ก็ไม่มีทางหนีพ้นได้เลย


                  แล้วเราเองผู้เป็นฝ่ายก่อเวร จะประสบกับความย่อยยับสูญเสียหนักมากกว่าผู้ที่ตนได้กระทำต่อเขาไว้ก่อนตามกฎแห่งกรรม   ต่อให้เป็นผู้ไม่มีความเชื่อกฎแห่งกรรมตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ก็ย่อมได้รับผลกรรมเช่นเดียวกัน  ดุจแรงสะท้อนกลับของลูกเทนนิส


                 หลายคนอาจดีอกดีใจที่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้หรือได้รับความเสื่อมสูญวิบัติ   ก็สามารถดีอกดีใจได้ในฐานะที่ฝ่ายของตนเป็นฝ่ายชนะ  แต่ก็อย่าดีอกดีใจจนเกินไป  เพราะอีกไม่นานความสะใจที่ตนเองเอาชนะเขาได้  เขาอาจเอาชนะและแก้ลำกลับคืน


                ความชนะกันในทางโลก   หาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้  ผู้ชนะย่อมก่อเวร  ส่วนผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์และพยายามจะเอาชนะในภายหลัง  จนกว่าจะเอาชนะกันด้วยคุณธรรม  หรือการที่ฝ่ายหนึ่งแพ้ใจอีกฝ่ายหนึ่งเพราะความดีเท่านั้น  ความชนะจึงจะเป็นความชนะที่ถาวร


               ฝ่ายที่พลาดพลั้งพ่ายแพ้  ก็อย่าเอาแต่หมดหวังหรือปล่อยให้ความเคียดแค้นชิงชังท่วมทับหัวใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้  จงตั้งสติแล้วทบทวนตัวเองดูอีกทีว่าเหตุใดตัวเรานี้จึงพ่ายแพ้


              จงสลัดความเคียดแค้นอาฆาตพยาบาทออกไปจากหัวใจ  แล้วเริ่มต้นทำในสิ่งสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยไม่ใส่ใจความล้มเหลวในอดีตที่แล้วมา


              ผู้ที่ล้มจงมีความหวังแล้วลุกขึ้น  โลกนี้ยังมีอะไรที่สวยงามและรอคอยเราผู้ไม่ยอมจำนนต่อชีวิตอยู่เสมอ  เมื่อแพ้ก็จงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีสปิริตและจริงใจ  อีกไม่นานความชนะอันยิ่งใหญ่จะเบิกทางให้แก่เราผู้มีสติอันรอบคอบอย่างไม่คาดฝันในเร็ววัน


             ในช่วงนี้พวกเราทุกฝ่ายทุกคน จงปฏิบัติธรรมหรือใช้ธรรมะในหมวด “ขันติและโสรัจจะ”ให้มาก  คือให้รู้จักอดทนรู้จักรอคอยและสงบเสงี่ยมเจียมตนกันให้มากขึ้น


                หลังจากช่วงเวลาที่ผ่านมา เราหลายคนต่างเป็นผู้กล้าที่จะทำอะไรตามใจตนเองกันอย่างไม่แคร์สายตาใคร  จนลืมไปว่า หลักของสิทธิเสรีภาพ ย่อมคู่กันกับความรับผิดชอบและความให้เกียรติเคารพผู้อื่นอยู่ในตัวด้วย จึงจะเป็นสิทธิเสรีภาพตามความหมายอันแท้จริง


               หากจะให้ลองสวมบทบาทจากการเป็นพระมาเป็นหมอดู ที่จะขอยืมเอาความรู้จากท่านผู้รู้ที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง  ก็อาจจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับผู้ที่ชอบการทำนาย แต่ก็ขอให้ฟังไว้พอเป็นแนวทางเพื่อบางคนจะได้ใช้เป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่ตนกำลังเดินโซซัดโซเซในท่ามกลางความมืดมิดในตอนนี้ ในฐานะที่ท่านทั้งหลายได้มีสายสัมพันธ์รู้จักกันทางตัวหนังสือแต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวว่าเป็นใคร


               หลายคนอาจดีใจว่าทหารออกมายึดอำนาจจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น   แต่ตามดวงชะตาของบ้านเมืองนั้น  แทนที่จะดีขึ้น  ดูไปแล้วมีแต่จะพากันขมขื่นและมีปัญหาหนักหน่วงยิ่งกว่า  เหตุก็เพราะว่าการที่ต้องให้ทหารมามีอำนาจปกครองบ้านเมือง  ย่อมแสดงว่าดวงชะตาบ้านเมืองย่อมคอดกิ่วที่สุด


             การสงบราบคาบอย่างที่เห็นในวันนี้  คือการที่น้ำทะเลไหลย้อนลงไปในทะเลช่วงสั้นๆก่อนจะเกิดคลื่นใหญ่หรือสึนามิถาโถมเข้าสู่ฝั่งติดตามมา ดังนั้น  จงรีบพากันสงบปากสงบคำและหยุดการหัวเราะร่า  แล้วเลิกเล่นน้ำทะเลรีบขึ้นสู่ฝั่งตั้งสติอยู่ในความสงบ เพื่อเตรียมรับมือกับสึนามิที่จะตามมา ย่อมจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าสิ่งอื่นใด


              ก่อนที่จะรุ่งสว่างของวันใหม่  ย่อมเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด ฉันใด  ก่อนจะถึงยุคมหาชนพาไป อันเป็นยุคประชาธิปไตยอันแท้จริงจะเกิดขึ้นในเมืองไทย  ย่อมต้องผ่านยุคเผด็จการที่ต้องใช้ความเข้มแข็งเด็ดขาดของทหารเป็นจุดเปลี่ยนผ่าน  เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


             สิ่งที่เกิดขึ้นคือกฎแห่งวิวัฒนาการที่จะต้องเป็นไป  ฝ่ายที่รักประชาธิปไตยจึงไม่ควรหมดหวังและเกลียดชังทหารจนลืมกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ทุกชีวิตจะต้องเผชิญ

 
             เมื่อหมดยุคของทหารที่มีบทบาทปกครองบ้านเมือง  ก็จะเข้าสู่ยุคที่รุ่งเรืองเป็นดินแดนศิวิไลซ์ในสยาม   ถึงเวลานั้นก็เป็นยุคสมัยแห่งรัชกาลที่ ๑๐ ที่ทรงอยู่เหนือการเมืองและเป็นมิ่งขวัญกำลังใจ  ประเทศไทยจะรุ่งเรืองเป็นที่ยอมรับนับถือของนานาอารยประเทศอย่างแน่นอน


             ถึงเวลานั้นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจะไม่มีอีกแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของพวกเราก็จะกลายเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานอนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนในโรงเรียนต่อไป


             ไม่ต้องกลัวหรือวิตกกังวลว่าทหารจะปกครองไปตลอด  ไม่ต้องกลัวว่าประเทศไทยจะไม่มีประชาธิปไตยอีกแล้ว  สิ่งเหล่านี้คือวิวัฒนาการที่กำลังเป็นไป  แต่ก็ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อต้านและการต่อสู้กันไม่ได้  เพราะนี่ก็คือส่วนหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อดำเนินไปสู่ความยุติธรรมในสังคม

 
           ก่อนที่ดุลยภาพจะเกิด  ย่อมเกิดความขัดแย้งต่อสู้กันเป็นธรรมดา  ดังนั้น หากใครยังไม่มีบทบาทและถลำลึกตกลงไปในกระแสทางการเมืองในเวลานี้  จงถือเอาโอกาสที่เรายังไร้บทบาทไร้อิทธิพลต่อสังคมในช่วงเวลานี้  มาหมั่นเจริญสติภาวนาปรับดุลยภาพในทางจิตใจของตนให้มั่นคง  เพื่อว่าหากโชคชะตาหรือบุญวาสนาพาให้เป็นไป  บางคนบางท่านที่กำลังอ่านบทความอยู่นี้ไซร้ อาจกลายเป็นผู้มีบทบาทในสังคมในวันหนึ่งข้างหน้า  เราอาจเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างสรรค์สังคมแห่งดุลยภาพกับเขาคนหนึ่งโดยเราไม่มีเจตนามาก่อนเลยก็ได้


            ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายจงมีความหวังและมีขวัญกำลังใจไว้เสมอ  อย่าได้สิ้นหวังท้อแท้หรือหมดกำลังใจ  จงเห็นอกเห็นใจและอดทนมีเมตตาต่อกันให้มาก  จงอดทน เข้าใจ และสงบเสงี่ยมเจียมตัว  รู้รักษาตัวและรักษาจิตใจอย่าให้ความเศร้าหมองขุ่นมัวใดๆมาแผ้วพาน


           จงมีศรัทธาต่อชีวิตและเชื่อมั่นไว้ในใจว่า ช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด มิใช่ช่วงเวลาที่น่ากลัวเสมอไป  อาจมีหลายสิ่งที่ดีซ่อนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น อย่างน้อยก็ทำให้เราหลับสบาย


           หากเราเข้าใจและยอมรับได้  ไม่นานช่วงเวลาเหล่านั้นก็จะผ่านไป แล้วฟ้าสีทองผ่องอำไพ รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ก็จะมาเยือนชีวิตของเราอย่างแน่นอน

 

                                                                                                    คุรุอตีศะ
                                                                                            ๒๔  พฤษภาคม  ๒๕๕๗