ความเด็ดขาด

ความเด็ดขาด

 

               ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและระส่ำระสาย   วิชากฎหมายหรือวิชาการต่างๆย่อมไม่อาจนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุผลได้ในสถานการณ์เช่นนั้น   เพราะจะเต็มไปด้วยการโต้เถียงด้วยเหตุผลและทะเลาะเบาะแว้งกันไปมาจนหาบทสรุปและตกลงกันไม่ได้

 

              ยิ่งถ้าหากการโต้แย้งนั้นเต็มไปด้วยอคติ ทิฐิมานะและเริ่มใช้อารมณ์  แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาตามหลักของวิญญูชน  กลับจะเป็นการซ้ำเติมเหตุการณ์ให้วุ่นวายสับสนมากขึ้นและขยายความรุนแรงของปัญหาให้หนักขึ้นไปอีก

 

               ในท่ามกลางสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายและระส่ำระสาย  ต้องใช้ความเด็ดขาดกล้าหาญและการกล้าเสียสละกล้าเปลืองตัว  ผู้นั้นจึงจะมีตบะบารมีในการจัดการกับปัญหาด้วยความมีสมาธิและรับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที  ความกล้าหาญและเด็ดขาดทันต่อเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ที่ผู้มีอำนาจในการรับผิดชอบต่อส่วนรวมและคนหมู่ใหญ่หรือประเทศชาติบ้านเมือง จะต้องมีประจำตำแหน่งหรือประจำบุญบารมีคู่กับตำแหน่งนั้นเสมอ

 

                 ในยามที่เหตุการณ์ทั่วไปสงบเรียบร้อย  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ  ต้องใช้วิชากฎหมายหรือวิชาการเมืองการปกครองในการบริหารบ้านเมืองหรือปกครองประเทศ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขหรืออยู่ดีกินดีตามนานาอารยประเทศ

 

                แต่ในยามที่สถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติหรือเกิดจลาจลวุ่นวาย อันเกิดจากการที่ผู้คนไม่เคารพกฎหมายหรือกฎกติกาของสังคม  ในยามนั้นย่อมมีความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควรที่จะต้องใช้ความเด็ดขาดกล้าหาญตามแบบฉบับของทหาร  ในการเข้ารับมือกับปัญหาให้ทันต่อเหตุการณ์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป  จนเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงอันยากจะแก้ไขในภายหลัง

 

                ตามชะตาของบ้านเมืองตามที่กล่าวไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว  ถึงเวลาที่ทหารจะมีบทบาทและเข้ามากุมชะตาของบ้านเมืองในระหว่างนี้  หลังจากที่เรามีความอิสรเสรีและนักการเมืองมีบทบาทและมีอิทธิพลมายาวนานถึง ๒๐ ปี  ความอิสรเสรีที่ใครๆนึกจะทำอะไรก็ได้ตามอารมณ์ ตามความโลภ ความโกรธ ความหลงโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของวิญญูชน  ก็ต้องพากันก้มหน้ารับผลแห่งกรรมด้วยการถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพเป็นธรรมดา  อันเป็นความยุติธรรมอย่างหนึ่งตามกฎของธรรมชาติ

 

               นั่นก็คือเมื่อมีความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่  ก็ต้องมีวันหงอยเหงาเซื่องซึมและนอนซม  เป็นการปรับสมดุลตามหลักสัจธรรมเป็นธรรมดา

 

               คนที่เคยเสวยความสุขหรือมีความยิ่งใหญ่มานานยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา  ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยอมรับความจริงว่า ต่อไปนี้คือวันเวลาแห่งการเสื่อมถอย เหมือนตะวันบ่ายคล้อยใกล้จะตกดินแล้ว   ความยิ่งใหญ่หรืออำนาจวาสนาและความสุขที่เคยมีตลอดมา  ก็จงถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตนี้ของเราที่ได้เกิดมาและได้เสวยความสุขนั้นแล้ว  จากแต่ก่อนนั้นเราเองก็ไม่มีอะไร  จากชีวิตที่ต่ำต้อยเพียงดิน จนรุ่งเรืองมาเป็นดาวจรัสฟ้าได้ถึงเพียงนี้ ก็สุดแสนจะภาคภูมิใจและไม่มีสิ่งใดจะต้องเสียใจอีก

 

                ถึงเวลาที่พวกเราทั้งหลายต้องยอมรับสภาพว่า เราได้เพลิดเพลินสนุกสนานทำอะไรตามใจตนเองกันจนหมดเวลา  ต่อจากนี้จงพากันเดินก้มหน้าก้มตาและเจียมเนื้อเจียมตัว สงบสติอารมณ์เพื่อตั้งหลักกันสักพักหนึ่ง

 

                  ที่ผ่านมานั้นคือสภาพบ้านเมืองที่เป็นแบบ "ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช  ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น   ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล  จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม  ความระทมจะถมทับนับเทวษ  ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม  คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม  ส่วนคนชั่วหัวเราะร่าทำท่าดัง" ซึ่งเป็นสภาพของบ้านเมืองที่ไร้ขื่อไร้แป

 

                 เราได้ใช้สิทธิเสรีภาพและใช้ประชาธิปไตยจนเลยขอบเขต  ก็เลยต้องถูกจำกัดให้อยู่ในนิคม "สิ้นพยศนิเวศน์" เพื่อเป็นการดัดนิสัยเป็นธรรมดากันถ้วนหน้า  ดังนั้น  จงอยู่กันด้วยความเห็นอกเห็นใจและมีเมตตา  เพราะเราต่างก็พากันทุกข์ร้อนและสูญเสียน้ำตามามากมายพอๆกัน

 

               ในปีนี้ตามพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ  ตามการเสี่ยงทายของพระยาแรกนา หยิบผ้านุ่งได้ผ้าหกคืบ ย่อมคือการไม่มีน้ำพอจะทำนาตามที่ควรจะเป็น เมื่อน้ำจะมาก็มาท่วมให้เกิดความเสียหายมากกว่า  พระโคเสี่ยงทายก็บริโภคน้ำและหญ้า  คำทำนายก็บ่งบอกว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งทุพภิกขภัย  จะเกิดความขาดแคลนอดอยากไปทั่วหล้า  ยิ่งในยุคใดสมัยใดที่ทหารต้องมีบทบาทปกครองประชา  ในยุคนั้นย่อมเป็นสิ่งบอกเหตุว่าคือจะเกิดความทุกข์ยากอดอยากขาดแคลน เกิดข้าวยากหมากแพงตามคำทำนายมาแต่โบราณ

 

               เราจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ไปจนถึงประมาณปี  ๒๕๖๐ หลังจากนั้นประเทศไทยจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เข้าสู่ "ยุคศิวิไลซ์"อย่างเต็มตัว  อันเป็นยุคของรัชกาลที่ ๑๐ ทรงขึ้นครองราชย์ปกครองบ้านเมืองอย่างสมบูรณ์  ประเทศไทยจะปกครองด้วยรูปแบบใหม่  เป็นแบบประชาธิปไตยซึ่งไม่เหมือนที่ใดในโลก

 

                   ที่ใดเมื่อมีการใช้อำนาจ  ที่นั่นก็ต้องมีการต่อต้านเป็นธรรมดา  ดังนั้น  ความสงบสุขอย่างแท้จริงจึงยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้  แต่ทุกสิ่งได้เดินมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ  หลังจากนั้นจะเกิดวิวัฒนาการของมันซึ่งไม่มีใครพยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างต่อจากนี้  แต่ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามกฎแห่งกรรมที่ยุติธรรมในตัวมันเองเสมอ โดยไม่เห็นแก่หน้าของมนุษย์คนใด

 

                   สำหรับเรื่องการบ้านการเมืองขอยกไว้ให้เป็นเรื่องของโลก  สิ่งที่อยากพูดกับท่านทั้งหลายที่มีความเคารพศรัทธาในยามนี้  ขอให้ทุกคนตั้งสติให้ดี  ในระยะสองสามปีนี้จงพยายามเรียนรู้และใช้วิชา "ยากจนอย่างเต็มใจ" เพื่อประคองครอบครัว ประคองชีวิตและประคองจิตใจของเราไว้  เพื่อให้ผ่านยุคสมัยที่ระส่ำระสายไปได้ด้วยความปลอดภัยและเข้มแข็งจนเข้าสู่ยุคใหม่ที่กำลังย่างก้าวเข้ามา

 

                   จงหมั่นพยายามรักษาศีล อย่าปล่อยตัวปล่อยใจเหมือนเมื่อก่อน  ใครที่ไม่รู้วิธีเจริญสติภาวนาตามที่สอน ก็ขอให้หมั่นสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น เพื่อให้เกิดสิริมงคลเป็นเกราะป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย  ใครที่เคยใช้ชีวิตเที่ยวเตร่สนุกสนานได้อย่างใจ  ก็จงหันมาใส่ใจในเรื่องการใส่บาตรทำบุญต่อผู้ทรงศีลที่ตนเลื่อมใสและมีศรัทธา อย่าประมาทในชีวิตเหมือนเมื่อก่อน  การทำได้เช่นนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตของเรา

 

                    มีโอกาสจงหมั่นบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีรักษาศีล ๘ อันจะทำให้จิตใจแกร่งกล้าและเกิดตบะบารมีมีสมาธิในการเผชิญกับทุกปัญหา  แม้เหตุการณ์บ้านเมืองหรือสังคมจะมีมรสุมต่างๆเบียดเบียนบีฑา  แต่ผู้มีศีลและมั่นคงในคุณธรรมจะมีเทพยดาปกปักรักษา ให้แคล้วคลาดจากภัยธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

 

                    รักษาขวัญและกำลังใจของเราด้วยการมีสติระลึกรู้ตัวในขณะนี้อยู่เสมอ  อย่าส่งจิตออกนอกอันจะนำความฟุ้งซ่านและความเดือดร้อนใจมาให้  สิ่งอื่นอาจต้องสูญเสียหรือเสียหายไปบ้างตามเหตุตามปัจจัย  แต่สิ่งที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่จะไม่วันสูญเสียหรือสูญหายไปไหน คือหัวใจอันสงบและหนักแน่นมั่นคงของเรา

 

                สิ่งของภายนอกหรือบุคคลอื่น เราอาจสูญเสียไปได้  แต่สำหรับหัวใจของเรา เราจะไม่มีวันให้สูญเสียไปกับสิ่งเหล่านั้นเป็นอันขาด

 

             ในบางครั้งเราอาจดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความอ่อนโยน ความนุ่มนวล ความมีเมตตา  แต่บางครั้งเราก็เกิดสติปัญญาอันแยบคายในการจัดการกับบัญหาที่กำลังเผชิญหน้า ว่าจะต้องใช้ความเด็ดขาดกล้าหาญในการเผชิญกับสถานการณ์แห่งความเป็นจริง

 

                  จงอ่อนโยนเมตตาในยามต้องใช้ความอ่อนโยนเมตตา  จงใช้ความกล้าหาญเด็ดขาด ในยามต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดขาด

 

                 ชีวิตคือความลี้ลับเสมอ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น   ชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์  ชีวิตคือการเลื่อนไหล  ไม่ขึ้นอยู่กับการยึดมั่นถือมั่นของผู้หนึ่งผู้ใดและไม่ขึ้นกับใจของใคร

 

                  มีแต่ผู้มีเมตตาอย่างถึงที่สุดเท่านั้น  จึงจะมีดวงจิตที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่สุด  ความเมตตาที่แท้จริง ย่อมมีอยู่คู่กับผู้มีสำนึกรับผิดชอบ  ผู้มีเมตตาอย่างแท้จริง  ย่อมเข้มแข็งเด็ดขาดขึ้นมาโดยอัตโนมัติในยามประสบเหตุการณ์ที่คับขัน โดยไร้การกำหนดหมายไว้ล่วงหน้า นี้คืออานุภาพประการหนึ่งของความเมตตาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

 

                 หัวใจที่สูงส่งด้วยเมตตาธรรมเช่นนั้น  ย่อมเต็มเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในยามจำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาดเสมอ

 

 

                                                                                 คุรุอตีศะ

                                                                       ๒๐  พฤษภาคม  ๒๕๕๗