ยุคมหาชนพาไป

ยุคมหาชนพาไป

 


                     มนุษย์แม้จะเก่งกล้าสามารถเพียงใด  แต่ก็ไม่อาจฝืนสัจธรรมหรือกฎแห่งพระไตรลักษณ์ไปได้  กฎพระไตรลักษณ์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่ก็คือ "กฎแห่งความเปลี่ยนแปลง"

 


                     สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งความเปลี่ยนแปลงหรือกฎแห่งวิวัฒนาการ  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมั่นคงถาวรตายตัวอยู่ตลอด ทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงและมีวิวัฒนาการในตัวมันเองเสมอ

 


                       ประเทศไทยของเรานี้  ก็คือธรรมชาติสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับอีกหลายๆสิ่ง ที่ไม่พ้นไปจากกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้  แม้เราจะพยายามต้านทานเพื่อให้บางสิ่งตายตัวอยู่คงเดิมสักเพียงใด  เราก็จะทำได้เพียงแค่ชะลอไว้ได้ชั่วคราวหรือเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น  ในที่สุดเราก็ต้องจำนนและยอมรับความจริงว่าต้องปล่อยให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงและเป็นไปตามครรลองของมัน

 


                        ในขณะที่เพื่อนบ้านของเรา ได้พากันผ่านยุคอันเลวร้าย ช่วงการเปลี่ยนผ่านก่อนหน้าเราไปหมดแล้ว  แม้เราเองได้พยายามต้านทานและพยายามรักษาหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นคงเดิมเหมือนเดิมอย่างสุดความสามารถ  ผลก็ปรากฏแล้วว่า เราสามารถต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เพียง ๔๐ ปีเท่านั้น และบัดนี้เราทุกคนจึงไม่อาจฝืนกระแสแบบที่ผ่านมานั้นได้อีกแล้ว  ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญได้ย่างกรายเข้ามาในยุคของพวกเราพอดี

 


                       เรากำลังอยู่ในยุคที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมๆกันหลายอย่างด้วยกัน  เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นของสังคม ที่กระทบต่อโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ  การเมืองการปกครองอย่างใหญ่หลวง

 


                    เป็นการต่อสู้เพื่อรักษาสถานะดั้งเดิม อำนาจและความสำคัญของตนไว้ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมฝ่ายหนึ่ง กับอีกฝ่ายหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกหลอกมาช้านาน แล้วต้องการให้อีกฝ่ายลดการเอารัดเอาเปรียบลง แล้วยินยอมให้ตนมีสิทธิเสมอภาคแบบสังคมประชาธิปไตยให้มากขึ้น ตามแนวทางของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายในโลก

 


                    นี้คือเรื่องใหญ่ที่ทำให้เราทั้งหลายไม่อาจปรองดองกันได้ และแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่ายจนยากจะหาทางออกได้ในเวลานี้   ความรู้ทางวิชาการหรือทางกฎหมาย  จึงไม่มีความหมายอะไร เพราะต่างฝ่ายต่างมีอคติและมีทิฐิมานะมุ่งเอาชนะอีกฝ่ายหรือให้อีกฝ่ายล่มจมลงไปเป็นหลักใหญ่  โดยลืมหลักเมตตาธรรมที่มนุษย์ควรมีต่อกันไปหมดแล้ว  ผู้ที่ยังรักษาพรหมวิหารในใจไว้ได้  พึงมีสติรักษาใจในยามนี้ให้มาก

 


                      ทางออกในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้  ขอให้ผู้มีอำนาจในมือหรือมีอิทธิพลในบ้านเมืองในขณะนี้  จงอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจและอย่าเผลอสติวู่วามไปกับคำพูดท้าทายหรือแรงยั่วยุของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  เพราะทุกคนในเวลานี้ต่างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้นชิงชัง  ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ความทุกข์ร้อน ความคับแค้นใจจนพร้อมที่จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวแล้วกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมาเมื่อใดก็ได้

 


                   หากผู้มีอำนาจในมือพยายามประคองใจและรักษาความเยือกเย็นหนักแน่นของตนไว้ได้  ท่านจะกลายเป็นผู้สร้างบุญกุศลอย่างยิ่งใหญ่ ต่อประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองได้อย่างมหาศาล และจะกลายเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติไทย  ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการทำบุญบริจาคเงินจำนวนสิบล้าน ร้อยล้าน หรือพันล้านเลยทีเดียว  เป็นบุญกุศลอันเกิดจากการรักษาชีวิตและเลือดเนื้อของปวงชนชาวไทยด้วยกันเองให้ผ่านพ้นวิกฤติของชาติในครั้งนี้ไปได้

 

                  พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างแห่งการแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม  ที่เหนือกว่ากฎหมายหรือวิชาการใดๆทางการเมืองการปกครอง ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวโลกที่กำลังจับตามองประเทศไทยอยู่ในเวลานี้  แล้วทั่วโลกจะพากันเอาอย่างประเทศไทยต่อไป

 


                 ตลอดชีวิตนี้ของท่านจะอิ่มใจและจากโลกนี้ไปอย่างนอนตายตาหลับ เพราะอานิสงส์แห่งการเป็นตัวจักรสำคัญในการประคองบ้านเมือง ให้ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านที่ผู้นำทั้งหลายในโลกนี้น้อยคนนักจะทำได้  แม้หากประเทศชาติบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด  เราก็จะไม่มีวันนึกเสียใจในภายหลังเลย

 


                 ขอให้ทุกคนจงตั้งสติยอมรับความจริงว่า เรากำลังก้าวสู่ "ยุคแห่งมหาชนพาไป" อันเป็นยุคที่ไม่อาจใช้อำนาจบีบบังคับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้มาอยู่ใต้อำนาจเหมือนที่เคยทำได้มาตลอดนั้นอีกแล้ว

 


               แต่ก่อนมานั้น ผู้ปกครองอาจควบคุมและสามารถทำอะไรสำเร็จตามความประสงค์ได้  เพราะการสื่อสารและเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย  เพียงสั่งการลงไปตามสายการบังคับบัญชาจากข้างบนลงไปสู่ระดับล่าง  ก็สามารถควบคุมประชาชนให้เชื่อฟังและมีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกันได้ทั่วถึง

 


               แต่นั่นคือสมัยก่อน ที่คนมีความรู้ความสามารถในสังคม คือปัญญาชนในมหาวิทยาลัยหรือคนที่มีการศึกษา  แต่ทุกวันนี้เราสามารถเรียนรู้ทันกันหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้คนระดับใด บางเรื่องที่ชาวบ้านรู้  แต่นักวิชาการหรือผู้มีการศึกษาอาจไม่รู้ก็ได้

 


                ยุคสมัยปัจจุบันนี้จึงยากเสียแล้วที่ใครจะไปบังคับใครให้คิดเหมือนกับเรา  เพราะความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้คนเรียนรู้ทันกันและสื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็ว  จึงเป็นยุคที่จากแต่เดิมผู้มีอำนาจสั่งการลงไป  กลายเป็นยุคที่จะทำอะไรย่อมขึ้นกับ "มหาชนพาไป" ต้องอนุโลมตามความต้องการของคนส่วนใหญ่และเคารพในความเสมอภาคแห่งความเป็นมนุษย์ จึงจะสอดคล้องและเป็นไปตามครรลองของยุคสมัย   การทำอะไรที่ให้เกียรติและเคารพต่อกันพร้อมทั้งความมีน้ำใจ  จึงจะกลายเป็นหลักชัยของมหาชน

 


                อิทธิพลแห่งยุคมหาชนพาไป  ซึ่งเราไม่อาจฝืนได้อีกแล้ว  ยกตัวอย่างเช่น  เราไม่อาจไปบังคับให้ผู้หญิงไทยนุ่งผ้าถุง ห้ามนุ่งกางเกงได้อีกแล้ว  ทั้งที่เมื่อสี่สิบปีก่อน  ในบ้านนอกสังคมชนบท หากผู้หญิงคนไหนใส่กางเกง  จะถูกสังคมตำหนิทันที  แต่เมื่อถึงทุกวันนี้  กลับกลายเป็นว่าไม่มีผู้หญิงคนใดไม่เคยใส่กางเกง

 


              หากใครพยายามไปบังคับให้ผู้หญิงไทยทั้งประเทศใส่ผ้าถุง  รับรองว่าจะต้องได้รับคำด่ากันทั้งประเทศ ทั้งๆที่ทุกคนก็ยอมรับกันว่าการใส่ผ้าถุงนั้น ดูสุภาพเรียบร้อย สวยงาม และมีสง่าน่าให้เกียรติมากกว่า  แต่ก็เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เราจึงไม่พากันฝืนกระแสของกฎพระไตรลักษณ์

 


                สมัยก่อนการเรียนวิชากฎหมายจะมีแต่ผู้ชาย  มีผู้หญิงน้อยมาก  แต่พอมาถึงเวลานี้  การสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาบางปี  ในบรรดาผู้ที่สอบผ่านจำนวน  ๖๐  คน  กลับมีผู้ชายสอบได้แค่ ๒๐ คน  นอกนั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด  นี้ก็คือยุคของมหาชนพาไป  ที่ใครไม่สามารถไปต้านทานกฎของพระไตรลักษณ์หรือฝืนต่อกระแสของสังคมที่คนในสังคมส่วนใหญ่พากันนิยม  วิถีของโลกย่อมเป็นไปเช่นนั้น

 


              เหตุการณ์บ้านเมืองของเราในเวลานี้ก็เช่นกัน  ไม่ว่าเราจะพยายามฝืนกระแสเพียงใด  ในที่สุดเราอาจเป็นฝ่ายถูกกระแสพัดพาและพังทลายไปเสียเอง  ไม่อาจต้านทานความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำได้อีกแล้ว  ถึงเวลาที่เขื่อนกั้นน้ำที่เคยใช้ได้ตลอดมานั้นต้องพังทลายไป  เพราะกระแสน้ำคือมหาชนที่กำลังเชี่ยวกรากน่าหวาดเสียวใจ ที่ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะต้านทานได้ไหว   เพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่ตามคำทำนายโบราณตอนหนึ่งที่กล่าวว่า

 


                              "ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม  หลังฝนคร้ามดินลั่นครืนจะยืนได้  จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป  เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา  คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น  แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา  ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา  ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ"

 


                   หลวงปู่หลุยส์  จันทะสาโร  เมื่อครั้งหลวงปู่ยังไม่ละสังขาร ได้เคยทำนายไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนต่อลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า "เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุครัชกาลที่ ๑๐  จะรุ่งเรืองมากและกลายเป็นมหาอำนาจ"  สอดคล้องกับคำทำนายโบราณที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้รับสืบทอดมาที่กำลังกล่าวขวัญกันอยู่ในเวลานี้

 


                 เราทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาลและการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคม  จึงขอให้ทุกคนจงดำรงสติให้มั่นคง  จงยึดมั่นในพระรัตนตรัยไว้  อย่าพากันประมาทในชีวิตและขอให้หมั่นสร้างกุศลไว้เสมอ  เพื่อจะได้ร่วมกันเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ ก้าวสู่ยุคใหม่ อย่างเข้มแข็งและสง่างาม

 

                 ไม่ว่าโลกและประเทศชาติบ้านเมืองจะมีเหตุการณ์ดีร้ายประการใด  ก็อย่าได้เสียขวัญหรือหมดกำลังใจ  เพราะไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้ายจะผ่านเข้ามาในชีวิตสักกี่ครั้งกี่หน  สิ่งเหล่านั้นก็ไม่พ้นไปจากกฎแห่งพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตาทั้งหมดทั้งสิ้น

 

                ในที่สุดทุกสิ่งก็ต้องผ่านพ้นไป  ไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดถือไว้ได้แม้แต่สิ่งเดียว  นี้คือสัจธรรมความจริงที่อยู่คู่ชีวิตมนุษย์ทุกคนและโลกใบนี้ตลอดมา

 


                      หมั่นเจริญสติสมาธิภาวนาไว้เสมอ  นี้คือสิ่งที่เป็นที่พึ่งในยามยากอย่างแท้จริงทั้งในภพนี้และภพหน้า  แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นใด  เราจะยังคงรักษาขวัญและกำลังใจไว้ได้เสมอด้วยพลังแห่งสติและปัญญา  นั่นแหละคือวิถีแห่งอริยะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมอบมรดกไว้ให้แก่พวกเราทั้งหลาย

 


                       จงมีกำลังใจและดำรงสติสัมปชัญญะไว้เสมอ  ทุกลมหายใจของเราคือกรรมฐานทั้งกลางวันและกลางคืน  เราจักเป็นไม้ยืนต้นที่พร้อมจะเผชิญแดดลมและพายุฝนได้เสมอในทุกฤดูกาล

 


                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                 ๑๘  พฤษภาคม  ๒๕๕๗