ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่คือใจเรา
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่คือใจเรา
เราต่างพากันดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ภายนอกด้วยความสับสนกระวนกระวาย จนลืมทรัพย์อันสำคัญที่อยู่ภายในคือหัวใจของเรา เราทุ่มเทได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทรัพย์สมบัติอันเป็นของนอกกาย แต่ได้ทอดทิ้งสมบัติอันล้ำค่าที่มีอยู่ภายใน เราได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่คือหัวใจของเราเองตลอดมา
การที่ทุ่มเทหัวใจเพื่อให้ได้สิ่งต่างๆ โดยเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะมาช่วยเติมเต็มหัวใจของเรา เปรียบเสมือนการไล่ล่าความฝัน ซึ่งย่อมไม่มีวันกลายเป็นความจริงได้เลย
ยิ่งดิ้นรนแสวงหาไขว่คว้ามากเพียงใด หัวใจของเรากลับได้รับความกระทบกระเทือนและบอบช้ำมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่พากเพียรและทุ่มเทเหล่านั้นแม้จะได้มาสมใจ แต่สุดท้ายก็ให้ความปลื้มปีติเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานเท่าไรนักก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความปลื้มใจเหมือนเก่า แล้วเราก็ดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาสิ่งอื่นต่อไป
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "นัตถิ ตัณหา สะมา นะที แม่น้ำที่จะเสมอด้วยตัณหาคือความทะยานอยากนั้นย่อมไม่มี"
แม่น้ำทุกสายที่ปรากฏอยู่ในโลกที่ว่ากว้างใหญ่สักแค่ไหน ความกว้างใหญ่ของแม่น้ำทุกสายเหล่านั้น ยังไม่อาจเทียบได้กับความกว้างใหญ่ไพศาลของความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในหัวใจของมนุษย์เราแต่ละคน
แม่น้ำทุกสายแม้จะกว้างใหญ่ แต่ก็ยังมีฝั่งปรากฏให้เห็นได้ด้วยสายตาและสามารถว่ายข้ามได้ แต่ฝั่งที่ยิ่งใหญ่คือความทะเยอทะยาน ความอยากในหัวใจของมนุษย์นี้สิ ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหนและไม่รู้ว่าจะข้ามได้อย่างไร พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนสติสอนใจพวกเราทุกคนว่า "แม่น้ำที่จะเสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มี"
ปัญหาในสังคมหรือชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะกำลังอยู่ ณ แห่งใดในโลกใบนี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากความอยากคือตัวตัณหานี้ทั้งสิ้น อยากมีอำนาจ อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากมีความสำคัญเหนือคนอื่น อยากได้รับการยอมรับจากสังคมและใครๆ อยากได้อะไรตามใจของตัวเอง ฯลฯ เราทุกคนมีชีวิตดำเนินไปในแต่ละวัน ด้วยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือความอยากนี้ทั้งหมด
เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะสละฐานันดรและความยิ่งใหญ่ คือความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกจากพระราชวังที่พระองค์ทรงเสวยสุขตลอดมาจวบจนพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ได้ละทิ้งบุตรและชายาอันเป็นที่รักประดุจแก้วตาดวงใจเพื่อแสวงหาหนทางที่จะนำผู้คนไปสู่ความหลุดพ้น จากวังวนแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
พระองค์ได้ทรงพากเพียรแสวงหาโมกขธรรมด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส แทบไม่มีชีวิตรอดตลอดระยะเวลาถึง ๖ ปี ข้อปฏิบัติใดที่ว่ายากซึ่งคนใจไม่เด็ดพอจะปฏิบัติไม่ได้ พระองค์ก็สามารถปฏิบัติบำเพ็ญผ่านมาได้ทั้งหมด จนกระทั่งพระชนมายุ ๓๕ พรรษา พระองค์ก็ทรงตรัสรู้อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ตัวสมุทัยอันเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่พระองค์ทรงค้นพบ ก็คือ ตัณหาคือความอยากนี้นั่นเอง ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น นี้คือสาเหตุของความทุกข์ของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนาใด
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมสากล คือเป็นความจริงที่เกิดกับทุกคน เป็นคำสอนที่กล่าวถึงสัจธรรมของชีวิตที่นำไปใช้ได้กับมนุษย์ทุกคน โดยไม่มีการเรียกร้องให้ต้องมาเป็นพุทธศาสนิกชนเสียก่อน เพราะการร้องไห้ การคร่ำครวญ ความทุกข์ ความบีบคั้นจิตใจ มนุษย์ทุกคนย่อมมีเสมอเหมือนกัน ไม่ขึ้นกับศาสนาหรือประเทศอะไร ขอเพียงรู้จักนำคำสอนของพระองค์ไปประพฤติปฏิบัติ บุคคลนั้นก็สามารถพบหนทางอันสว่างในชีวิตได้เช่นเดียวกัน
ตัวสมุทัยในอริยสัจสี่ ที่พระองค์แสดงธรรมแก่พระปัญจวัคคีย์ จนทำให้ฤาษีทั้งห้าตนได้บรรลุมรรคผลรู้แจ้งสัจธรรม ก็คือพระธรรมที่ทรงแสดงจนทำให้ฤาษีทั้งห้าตนนั้นมีญาณรู้ชัดว่า ความทุกข์ทั้งมวลไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นในภายนอก แต่เกิดจากความอยาก ความดิ้นรนทะเยอทะยานในใจของเราเอง เมื่อละเสียได้ซึ่งความอยาก ความทุกข์และปัญหาชีวิตทั้งปวงก็สิ้นสุดลง
หากเราไปล็อคสเปคชีวิตของเราเองว่าต้องให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียก่อน จึงจะหาความสุขได้ เราจะตกเป็นทาสตัณหาคือความทะยานอยากที่ว่านี้เรื่อยไป หัวใจของเราจะบอบช้ำหรือขาดวิ่นเพียงใด เราจะไม่มีทางรู้ตัวเลย บางคนแม้เจ็บป่วยจนใกล้วาระสุดท้าย ก็ยังไม่สามารถเข้าใจและตระหนักในสัจธรรมชีวิตในข้อนี้ ไม่รู้ตัวว่า ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนตลอดชีวิตนั้น ก็เพราะตกเป็นทาสตัณหาคือความอยากนี้นั่นเอง
บางคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบนี้ จะไม่มีทางฉุกคิดได้เลยตลอดทั้งชาติที่เกิดมานั้น ที่สำคัญก็คือ แม้ตนจะทุกข์เพียงใด จะกลับคิดว่าตนเองมีความสุขดี เพราะไม่เกิดสติปัญญามองเห็นความจริงในข้อนี้ เหมือนคนป่วยด้วยโรคร้ายจะต้องตายภายในหนึ่งปี แต่ไม่มีหมอหรือใครบอกความจริง ก็เข้าใจว่าตัวเองมีสุขภาพดีและคงมีชีวิตยืนยาวถึงแปดสิบปีเป็นแน่ ปุถุชนผู้ยังไม่เห็นทุกข์โทษของตัณหาความทะยานอยาก ก็ย่อมพากันหลงระเริงเพลิดเพลินยินดี เพราะไม่ทราบความจริง ในทำนองเดียวกับคนป่วยที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเช่นนั้น
เราทั้งหลายที่พากันมุ่งมั่นทะเยอทะยานเพื่อให้ได้ในสิ่งต่างๆ จนนอนไม่หลับและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นวิตกกังวล ขอให้หันมาสนใจทรัพย์สมบัติภายในที่เราหลงลืมเขามานานคือจิตใจของตัวเราเองในขณะนี้ให้มากขึ้น
เราได้ใช้หัวใจของเราทุ่มเทไปกับทุกคนและทุกสิ่ง จนหัวใจของเราไม่เคยได้หยุดวิ่งหรือได้หยุดพักผ่อนมานานมากแล้ว เราได้เอาทรัพย์สมบัติอันล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลกที่ธรรมชาติได้ประทานมา แล้วไปเที่ยวไล่ล่าเอากรวดทรายและกระเบื้องหักแก้วแตก โดยหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพชรพลอยอันล้ำค่ามานักต่อนักแล้ว
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของชีวิตที่ผ่านมา เราได้เที่ยวไล่ล่า "ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า"จนสิ้นเรี่ยวแรงแทบเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว จงหัดหันมองเข้ามาภายใน แล้วจะพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่เรามองข้ามไปเป็นเวลาแสนนานนัก
เมื่อได้ไล่ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า จนต้องเสียน้ำตามาหลายโอ่ง และเรี่ยวแรงตอนนี้ก็แทบจะก้าวขาไม่ไหว ก็จงอย่าได้ดื้อรั้นและดันทุรังต่อไป ขอจงหัดมาตามหา "ขุมทรัพย์ภายใน"ที่รอคอยการขุดค้นจากเรามาเนิ่นนาน
ทรัพย์สมบัติภายนอก แม้จะไล่ล่าไปจนสุดขอบฟ้า ก็ไม่มีวันได้พบและไม่มีวันจบ ผู้ที่พยายามไล่ล่าหรือแสวงหาจะต้องหมดแรงหรือถึงแก่ความตายเสียก่อน เป็นอย่างนี้มาเสมอทุกยุคทุกสมัย หากไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์แล้วไซร้ พวกเราทั้งหลายจะไม่มีใครรู้ความจริงเลยว่า ทรัพย์ที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ตรงสุดขอบฟ้า แต่เพชรอันล้ำค่าที่มนุษย์ทุกคนดิ้นรนแสวงหาตลอดมา เป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหรืออยู่ข้างในหัวใจของเรานี่เอง
แสวงหาทรัพย์ภายนอกกันมามากแล้ว ต่อไปนี้จงค้นหาทรัพย์ภายในอันเป็นทรัพย์มหาศาลและยิ่งใหญ่ ที่เมื่อบุคคลใดได้ค้นพบทรัพย์ชนิดนี้แล้ว จะไม่มีการหวนกลับไปแสวงหาทรัพย์ภายนอกอีกเลย
ทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่พระอริยเจ้าทั้งปวงค้นพบนี้ จะเปรียบประดุจแก้วสารพัดนึกที่ไม่รู้สึกขาดแคลนในสิ่งใด หลังจากนั้นทรัพย์สมบัติภายนอกจะดูสำคัญและยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวโลกเพียงใด ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่านอีกต่อไป เพราะท่านพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่พบได้ที่ใจของท่านนั้นนั่นเอง
สำหรับหลายคนที่เหนื่อยล้ากับการแสวงหาสิ่งอันเป็นภายนอกมาเนิ่นนาน จงหันมาแสวงหาทรัพย์ภายในตามอย่างพระอริยเจ้าเสียแต่วันนี้ เพราะทรัพย์ที่เราค้นพบได้ที่ใจ จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความเต็มเปี่ยมและร่มเย็นตลอดไป
คุรุอตีศะ
๒๗ เมษายน ๒๕๕๗