ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่คือใจเรา

ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่คือใจเรา

 

                 เราต่างพากันดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ภายนอกด้วยความสับสนกระวนกระวาย  จนลืมทรัพย์อันสำคัญที่อยู่ภายในคือหัวใจของเรา  เราทุ่มเทได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทรัพย์สมบัติอันเป็นของนอกกาย  แต่ได้ทอดทิ้งสมบัติอันล้ำค่าที่มีอยู่ภายใน  เราได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่คือหัวใจของเราเองตลอดมา

 

                   การที่ทุ่มเทหัวใจเพื่อให้ได้สิ่งต่างๆ  โดยเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะมาช่วยเติมเต็มหัวใจของเรา  เปรียบเสมือนการไล่ล่าความฝัน  ซึ่งย่อมไม่มีวันกลายเป็นความจริงได้เลย

 

                    ยิ่งดิ้นรนแสวงหาไขว่คว้ามากเพียงใด  หัวใจของเรากลับได้รับความกระทบกระเทือนและบอบช้ำมากขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งที่พากเพียรและทุ่มเทเหล่านั้นแม้จะได้มาสมใจ  แต่สุดท้ายก็ให้ความปลื้มปีติเพียงช่วงเวลาสั้นๆ  ไม่นานเท่าไรนักก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความปลื้มใจเหมือนเก่า  แล้วเราก็ดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาสิ่งอื่นต่อไป

 

                      พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "นัตถิ  ตัณหา  สะมา  นะที  แม่น้ำที่จะเสมอด้วยตัณหาคือความทะยานอยากนั้นย่อมไม่มี"

 

                      แม่น้ำทุกสายที่ปรากฏอยู่ในโลกที่ว่ากว้างใหญ่สักแค่ไหน  ความกว้างใหญ่ของแม่น้ำทุกสายเหล่านั้น  ยังไม่อาจเทียบได้กับความกว้างใหญ่ไพศาลของความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในหัวใจของมนุษย์เราแต่ละคน

 

                       แม่น้ำทุกสายแม้จะกว้างใหญ่  แต่ก็ยังมีฝั่งปรากฏให้เห็นได้ด้วยสายตาและสามารถว่ายข้ามได้  แต่ฝั่งที่ยิ่งใหญ่คือความทะเยอทะยาน ความอยากในหัวใจของมนุษย์นี้สิ  ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหนและไม่รู้ว่าจะข้ามได้อย่างไร  พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนสติสอนใจพวกเราทุกคนว่า  "แม่น้ำที่จะเสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มี"

 

                        ปัญหาในสังคมหรือชาติบ้านเมือง  ไม่ว่าจะกำลังอยู่ ณ  แห่งใดในโลกใบนี้  ล้วนเกิดขึ้นมาจากความอยากคือตัวตัณหานี้ทั้งสิ้น  อยากมีอำนาจ  อยากได้ทรัพย์สมบัติ  อยากมีความสำคัญเหนือคนอื่น  อยากได้รับการยอมรับจากสังคมและใครๆ   อยากได้อะไรตามใจของตัวเอง ฯลฯ เราทุกคนมีชีวิตดำเนินไปในแต่ละวัน  ด้วยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือความอยากนี้ทั้งหมด

 

                        เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะสละฐานันดรและความยิ่งใหญ่ คือความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  เสด็จออกจากพระราชวังที่พระองค์ทรงเสวยสุขตลอดมาจวบจนพระชนมายุ  ๒๙  พรรษา  ได้ละทิ้งบุตรและชายาอันเป็นที่รักประดุจแก้วตาดวงใจเพื่อแสวงหาหนทางที่จะนำผู้คนไปสู่ความหลุดพ้น  จากวังวนแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 

                         พระองค์ได้ทรงพากเพียรแสวงหาโมกขธรรมด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส แทบไม่มีชีวิตรอดตลอดระยะเวลาถึง  ๖  ปี  ข้อปฏิบัติใดที่ว่ายากซึ่งคนใจไม่เด็ดพอจะปฏิบัติไม่ได้  พระองค์ก็สามารถปฏิบัติบำเพ็ญผ่านมาได้ทั้งหมด  จนกระทั่งพระชนมายุ  ๓๕  พรรษา  พระองค์ก็ทรงตรัสรู้อริยสัจสี่ คือ ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค

 

                        ตัวสมุทัยอันเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่พระองค์ทรงค้นพบ ก็คือ ตัณหาคือความอยากนี้นั่นเอง  ความอยากได้  ความอยากมี  ความอยากเป็น  นี้คือสาเหตุของความทุกข์ของมนุษย์ทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ  ภาษา หรือศาสนาใด

 

                       คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นสัจธรรมสากล คือเป็นความจริงที่เกิดกับทุกคน  เป็นคำสอนที่กล่าวถึงสัจธรรมของชีวิตที่นำไปใช้ได้กับมนุษย์ทุกคน โดยไม่มีการเรียกร้องให้ต้องมาเป็นพุทธศาสนิกชนเสียก่อน  เพราะการร้องไห้  การคร่ำครวญ  ความทุกข์ ความบีบคั้นจิตใจ มนุษย์ทุกคนย่อมมีเสมอเหมือนกัน ไม่ขึ้นกับศาสนาหรือประเทศอะไร  ขอเพียงรู้จักนำคำสอนของพระองค์ไปประพฤติปฏิบัติ  บุคคลนั้นก็สามารถพบหนทางอันสว่างในชีวิตได้เช่นเดียวกัน

 

                        ตัวสมุทัยในอริยสัจสี่  ที่พระองค์แสดงธรรมแก่พระปัญจวัคคีย์ จนทำให้ฤาษีทั้งห้าตนได้บรรลุมรรคผลรู้แจ้งสัจธรรม  ก็คือพระธรรมที่ทรงแสดงจนทำให้ฤาษีทั้งห้าตนนั้นมีญาณรู้ชัดว่า ความทุกข์ทั้งมวลไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นในภายนอก  แต่เกิดจากความอยาก ความดิ้นรนทะเยอทะยานในใจของเราเอง  เมื่อละเสียได้ซึ่งความอยาก ความทุกข์และปัญหาชีวิตทั้งปวงก็สิ้นสุดลง

 

                        หากเราไปล็อคสเปคชีวิตของเราเองว่าต้องให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียก่อน  จึงจะหาความสุขได้  เราจะตกเป็นทาสตัณหาคือความทะยานอยากที่ว่านี้เรื่อยไป  หัวใจของเราจะบอบช้ำหรือขาดวิ่นเพียงใด  เราจะไม่มีทางรู้ตัวเลย  บางคนแม้เจ็บป่วยจนใกล้วาระสุดท้าย  ก็ยังไม่สามารถเข้าใจและตระหนักในสัจธรรมชีวิตในข้อนี้  ไม่รู้ตัวว่า  ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนตลอดชีวิตนั้น  ก็เพราะตกเป็นทาสตัณหาคือความอยากนี้นั่นเอง

 

                       บางคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบนี้ จะไม่มีทางฉุกคิดได้เลยตลอดทั้งชาติที่เกิดมานั้น  ที่สำคัญก็คือ  แม้ตนจะทุกข์เพียงใด  จะกลับคิดว่าตนเองมีความสุขดี  เพราะไม่เกิดสติปัญญามองเห็นความจริงในข้อนี้  เหมือนคนป่วยด้วยโรคร้ายจะต้องตายภายในหนึ่งปี  แต่ไม่มีหมอหรือใครบอกความจริง  ก็เข้าใจว่าตัวเองมีสุขภาพดีและคงมีชีวิตยืนยาวถึงแปดสิบปีเป็นแน่   ปุถุชนผู้ยังไม่เห็นทุกข์โทษของตัณหาความทะยานอยาก  ก็ย่อมพากันหลงระเริงเพลิดเพลินยินดี เพราะไม่ทราบความจริง ในทำนองเดียวกับคนป่วยที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเช่นนั้น

 

                        เราทั้งหลายที่พากันมุ่งมั่นทะเยอทะยานเพื่อให้ได้ในสิ่งต่างๆ จนนอนไม่หลับและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นวิตกกังวล  ขอให้หันมาสนใจทรัพย์สมบัติภายในที่เราหลงลืมเขามานานคือจิตใจของตัวเราเองในขณะนี้ให้มากขึ้น

 

                         เราได้ใช้หัวใจของเราทุ่มเทไปกับทุกคนและทุกสิ่ง  จนหัวใจของเราไม่เคยได้หยุดวิ่งหรือได้หยุดพักผ่อนมานานมากแล้ว   เราได้เอาทรัพย์สมบัติอันล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลกที่ธรรมชาติได้ประทานมา  แล้วไปเที่ยวไล่ล่าเอากรวดทรายและกระเบื้องหักแก้วแตก โดยหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพชรพลอยอันล้ำค่ามานักต่อนักแล้ว

 

                          ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของชีวิตที่ผ่านมา  เราได้เที่ยวไล่ล่า "ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า"จนสิ้นเรี่ยวแรงแทบเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว  จงหัดหันมองเข้ามาภายใน  แล้วจะพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่เรามองข้ามไปเป็นเวลาแสนนานนัก

 

                           เมื่อได้ไล่ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า  จนต้องเสียน้ำตามาหลายโอ่ง และเรี่ยวแรงตอนนี้ก็แทบจะก้าวขาไม่ไหว  ก็จงอย่าได้ดื้อรั้นและดันทุรังต่อไป  ขอจงหัดมาตามหา "ขุมทรัพย์ภายใน"ที่รอคอยการขุดค้นจากเรามาเนิ่นนาน

 

                           ทรัพย์สมบัติภายนอก  แม้จะไล่ล่าไปจนสุดขอบฟ้า  ก็ไม่มีวันได้พบและไม่มีวันจบ ผู้ที่พยายามไล่ล่าหรือแสวงหาจะต้องหมดแรงหรือถึงแก่ความตายเสียก่อน  เป็นอย่างนี้มาเสมอทุกยุคทุกสมัย  หากไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์แล้วไซร้  พวกเราทั้งหลายจะไม่มีใครรู้ความจริงเลยว่า  ทรัพย์ที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ตรงสุดขอบฟ้า  แต่เพชรอันล้ำค่าที่มนุษย์ทุกคนดิ้นรนแสวงหาตลอดมา  เป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหรืออยู่ข้างในหัวใจของเรานี่เอง

 

                            แสวงหาทรัพย์ภายนอกกันมามากแล้ว  ต่อไปนี้จงค้นหาทรัพย์ภายในอันเป็นทรัพย์มหาศาลและยิ่งใหญ่  ที่เมื่อบุคคลใดได้ค้นพบทรัพย์ชนิดนี้แล้ว  จะไม่มีการหวนกลับไปแสวงหาทรัพย์ภายนอกอีกเลย

 

                              ทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่พระอริยเจ้าทั้งปวงค้นพบนี้ จะเปรียบประดุจแก้วสารพัดนึกที่ไม่รู้สึกขาดแคลนในสิ่งใด หลังจากนั้นทรัพย์สมบัติภายนอกจะดูสำคัญและยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวโลกเพียงใด  ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่านอีกต่อไป  เพราะท่านพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่พบได้ที่ใจของท่านนั้นนั่นเอง

 

                               สำหรับหลายคนที่เหนื่อยล้ากับการแสวงหาสิ่งอันเป็นภายนอกมาเนิ่นนาน  จงหันมาแสวงหาทรัพย์ภายในตามอย่างพระอริยเจ้าเสียแต่วันนี้  เพราะทรัพย์ที่เราค้นพบได้ที่ใจ  จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความเต็มเปี่ยมและร่มเย็นตลอดไป

 

 

                                                                            คุรุอตีศะ

                                                                   ๒๗  เมษายน  ๒๕๕๗