ความเป็นพระอยู่ที่ใจ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความเป็นพระอยู่ที่ใจ
หลังจากที่ท่านอาจารย์ยันตระได้กลับคืนสู่มาตุภูมิเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และสื่อต่างๆได้เผยแพร่ข่าวออกสู่สาธารณชนในวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๗ อันเป็นผลทำให้ ศิษย์และผู้คนที่เคารพนับถือซึ่งพากันรอคอยวันเวลาอันสำคัญนี้มานานเกือบยี่สิบปี ได้พากันหลั่งไหลไปกราบไหว้ท่านอาจารย์ยันตระซึ่งบัดนี้อยู่ในเครื่องแบบนักพรตโยคีกันมากมาย จนเป็นข่าวคราวครึกโครมกันไปทั่วทั้งประเทศ
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว ซึ่งนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่สองในตอนนี้แทบทั้งหมดเพิ่งจะเกิดมาลืมตาดูโลก หลังจากผ่านงานวันเกิด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๖ ที่คณะศิษยานุศิษย์ทั้งประเทศจัดขึ้นเพื่อแสดงมุทิตาจิตในโอกาสที่ "ท่านพระอาจารย์ยันตระ อมโรภิกขุ" มีอายุครบ ๔๒ ปีบริบูรณ์
เหตุการณ์ในวันนั้น มีคนหลั่งไหลไปใส่บาตรทำบุญและฟังธรรมกลางป่าเขามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน รถยนต์จอดเรียงรายสองฟากถนนยาวสามกิโลเมตร มีพระภิกษุสามเณรออกรับบิณฑบาตในวันนั้นจำนวน ๒๐๐ รูปเศษ และกว่าจะเดินรับบิณฑบาตทั่วถึงก็เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายสองโมง ญาติโยมที่เดินทางมาจากทุกสารทิศจึงได้ใส่บาตรครบทุกคน ทำให้มีพระภิกษุและสามเณรตัดสินใจสร้างขันติบารมีและอธิษฐานบารมีด้วยการงดฉันอาหารในวันนั้นจำนวน ๑๐๘ รูปด้วยกัน
แต่หลังจากวันเวลาแห่งความปลื้มปีติผ่านไปเพียง ๓ เดือน หลังจากนั้นลูกศิษย์และคนที่เคารพนับถือก็เกิดความรู้สึกช็อคกันทั่วทั้งประเทศอันเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้าม เมื่อหนังสือพิมพ์ข่าวสดได้พาดหัวข่าวกรณีความอื้อฉาวด้านพระธรรมวินัยอันสั่นสะเทือนวงการคณะสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๗ ซึ่งเมื่อนับเอาวันที่เกิดเรื่องราวครั้งแรกนั้นจนมาถึงวันนี้ ก็ครบเวลา ๒๐ ปีพอดี
พระอาจารย์ยันตระ อมโรภิกขุ สมัยเมื่ออายุ ๔๒ ปีเมื่อยี่สิบก่อน กับท่านอาจารย์ยันตระในรูปแบบมหาโยคีผู้ไว้หนวดเครา และมีเส้นผมปล่อยยาวตามธรรมชาติไม่มีการโกนเหมือนพระภิกษุทั่วไป ในวัย ๖๒ ปี คนไทยอาจไม่คุ้นเคยหรือชินตานัก แต่รูปแบบเช่นนี้เป็นรูปแบบของนักบวชหรือนักพรตทั่วไปในอินเดียและถิ่นอื่นของโลก แม้แต่หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน สมัยยังทรงสังขารร่างกายอยู่นั้น เวลาท่านไปกราบเยี่ยมผู้เป็นอาจารย์ของท่านที่เขาพนมกุเลน ผู้ที่เคยติดตามก็กลับมาเล่าว่า อาจารย์ของท่านก็ทรงฌานสมาบัติ นั่งบำเพ็ญอยู่บนเขา มีผมยาวเกือบถึงพื้นเพราะไม่ได้ปลงผมเลย
การบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีบรรพชา พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะสอนให้นาคเปล่งวาจาในการขอบรรพชาเป็นภาษาบาลีว่า "สัพะทุกขะนิสสะระณะนิพพานะสัจฉิกะระณัตถายะ อิมัง กาสาวัง คะเหตะวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปัง อุปาทายะ"
มีความหมายในภาษาไทยว่า "ข้าแต่ท่านพระอุปัชฌาย์ผู้เจริญ ขอจงเมตตาอนุเคราะห์โปรดได้รับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้บวชซึ่งตัวกระผมด้วย เพื่อกระผมจักได้กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อันเป็นที่สลัดออกเสียได้แห่งทุกข์ทั้งปวง"
การบวชเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัย ต้องปลงผมและหนวด ห่มผ้ากาสายะคือผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาดที่ไม่ใช่ผ้าที่ทำหรือตัดขึ้นมาเพื่อความสวยงามหรือประดับตกแต่งร่างกาย แล้วกระทำพิธีตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ ความเป็นพระภิกษุจึงจะมีความสมบูรณ์
แต่ความสมบูรณ์ของการเป็นพระภิกษุที่ว่านี้ เป็นเพียงการเป็นพระภิกษุตามสมมุติเท่านั้น คือเป็นเพียงการได้แต่งเครื่องแบบของพระอรหันต์ แต่หลังจากนั้นจะมีคุณสมบัติและความสามารถสมกับเครื่องแบบที่สวมใส่หรือไม่ ก็สุดแท้แต่จุดมุ่งหมายแห่งการออกบวชและการประพฤติปฏิบัติของแต่ละคนเป็นสำคัญ
บางคนเมื่อออกบวชแล้ว ก็สามารถพัฒนาดวงจิตจนเข้าสังกัดของพระอรหันต์หรือเป็นพระอริยบุคคลได้สำเร็จตามคำปฏิญาณในภาษาบาลีในการบวชวันแรก บางคนก็เป็น "สมมุติสงฆ์" ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย นี้คือความต่างกันของการออกบวชหรือความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ความจริงแล้ว คำว่า "พระภิกษุ" แปลว่า "ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร" คำว่า "พระภิกษุณี" แปลว่า "สตรีผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร" การเป็นพระภิกษุที่แท้จริง จึงไม่ใช่จะตัดสินเพียงแค่การปลงผมห่มเหลืองในภายนอกเท่านั้น แต่คือการเป็นผู้มีดวงจิตไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เพราะเห็นทุกข์โทษในวัฏฏสงสาร เห็นทุกข์โทษและเบื่อหน่ายต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปรารถนาความหลุดพ้นไปจากกระแสแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย รู้แจ้งในสัจธรรม จนจิตเข้าสู่ความหลุดพ้นอยู่เหนือสุขและทุกข์ในโลกทั้งปวง ผู้คนหรือฆราวาสผู้ครองเรือนทั้งหลาย ที่พากันกราบไหว้บูชาพระภิกษุก็เพราะเหตุนี้เป็นหลักใหญ่สำคัญที่สุด
ตามที่ปรากฏในข่าวคราวว่าเกิดมีปัญหา เรื่องการไปกราบไหว้ท่านอาจารย์ยันตระว่าจะเป็นการสมควรหรือไม่ สำหรับบุคคลที่อาจไม่ทราบความผูกพันระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์ที่มีความเคารพรักต่อกันด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ ขอจงลองเปลี่ยนมุมมองใหม่และเคารพในสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาอันเป็นเนื้อแท้ให้กว้างยิ่งขึ้น เรื่องเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาและไม่เป็นปัญหาอีก
มาในยุคสมัยนี้ เราไม่อาจใช้กฎหมาย หรืออำนาจทางการเมืองการปกครอง ไปบีบบังคับให้ใครเคารพนับถือหรือจงรักภักดีต่อใคร หรือไปบังคับไม่ให้เขาเคารพนับถือใครไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
การที่คนเราจะเกิดความรู้สึกเคารพนับถือจนกระทั่งอยากกราบไหว้ใครนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากนัก หากไม่เกิดขึ้นด้วยน้ำใสใจจริงแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ย่อมเต็มไปด้วยอัตตาความถือตัวและยากที่จะอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อผู้อื่น มีแต่จะแข็งกระด้างถือดีว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่นกันทั้งนั้น ยากนักที่จะก้มหัวให้แก่ใครหรือมือไม้อ่อนพอที่จะแสดงความเคารพหรือไหว้ใครได้
ดังนั้น หากบุคคลใดที่แม้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่วัฒนธรรมประเพณีบังคับให้ต้องกราบไหว้เช่นพระภิกษุ แต่กลับมีผู้คนเกิดความเคารพนับถือด้วยความจริงใจโดยไม่ต้องครองจีวรนั้น บุคคลเช่นนั้นย่อมต้องมีคุณสมบัติและคุณงามความดีที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เราไม่ควรก้าวล่วงผู้อื่นแม้กระทั่งการแสดงความเคารพของศิษย์กับตัวอาจารย์ เราควรให้เกียรติต่อการแสดงออกระหว่างผู้เป็นศิษย์ที่มีต่ออาจารย์ผู้มีพระคุณ ขนาดนักเรียนยังทรุดตัวลงกราบอาจารย์ผู้เป็นฆราวาสที่แม้ไม่มีศีล ๕ ด้วยซ้ำยังได้ แม้คนชั้นสูงหรือผู้ดีที่ประพฤติตนเช่นคนทั่วไป เราก็ยังกราบไหว้ได้อย่างสนิทและเต็มใจ
แล้วเหตุใดลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ยันตระจะกราบไหว้อาจารย์ของตนไม่ได้ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นทำด้วยความบริสุทธิ์จริงใจไม่มีใครบังคับ ที่สำคัญพวกเขายังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวอาจารย์อยู่อย่างมั่นคง แม้วันเวลาจะผ่านไปแล้วถึงยี่สิบปี สิ่งเหล่านี้น่าคิดและน่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นความหลงงมงายของพวกเขาหรือว่ายังมีสิ่งใดที่พวกเราทั้งหลายในยุคสมัยนี้ไม่รู้ชัดกันแน่ จึงขอฝากผู้รู้ทั้งหลายไว้ช่วยกันลองพิจารณาต่อไป
การบวชเป็นพระภิกษุในตอนแรก ต้องปลงผมและหนวด ห่มผ้ากาสายะ จึงจะสำเร็จเป็นองค์พระตามพระวินัยและตามประเพณี แต่ความเป็นพระที่แท้จริงนับจากนี้ ไม่ได้วัดที่การโกนหัวห่มเหลืองอีกแล้ว แต่ความเป็นพระวัดกันที่ความสละละวางและความสะอาดบริสุทธิ์แห่งจิตของบุคคลนั้นต่างหาก
เคยมีตัวอย่างพระภิกษุรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ต้องถูกบังคับให้สึกจากความเป็นพระ ท่านก็ใส่ชุดขาวใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ในวัด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ท่านป่วยและถึงแก่ความตาย คนในวัดแห่งนั้นก็นำร่างท่านไปเผาด้วยฟืนตามประสาคนบ้านนอกโดยคิดว่าเป็นตาแก่อาศัยวัดเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
แต่ปรากฏว่าพอเผาเสร็จแล้วปล่อยกองฟอนทิ้งไว้ วันรุ่งขึ้นพอไปเก็บอัฐิ ปรากฏว่า อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ทำให้ทุกคนต้องพากันเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมากันยกใหญ่ ส่วนพระภิกษุที่เคยใส่ร้ายท่านเพื่อแย่งศรัทธาและแย่งความเป็นใหญ่ในที่สุดก็สารภาพความจริงออกมา แล้วก็ต้องสึกออกไป ต่อมาไม่นานก็ป่วยเป็นโรคร้ายและสิ้นชีวิตไปด้วยความทรมาน นี้คือทุกข์โทษของวัฏฏสงสารที่สัตว์โลกต้องเผชิญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแต่ถูกเก็บเป็นความลับ เพราะเป็นเรื่องกระทบกับคนอีกหลายคน ที่นำมาเล่านี้ก็เพื่อแสดงให้พวกเราได้เห็นว่า ชีวิตของพระหรือนักบวชนั้น เป็นสิ่งที่เราฆราวาสทั่วไปยากจะหยั่งได้ถึงด้วยความคิดและสติปัญญาของเรา และในโลกนี้ยังมีอะไรลึกซึ้งซับซ้อนเกินกว่าเราจะเข้าใจอยู่อีกมากมาย แต่ละคนแต่ละชีวิตล้วนแล้วแต่มีวิบากกรรมที่จะต้องได้เสวยไปตามกรรม โลกนี้จึงมีแต่ความผันแปร ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้เลย จึงควรหมั่นสร้างกุศลไว้และหมั่นภาวนาเจริญสติกันไว้เสมอ ชีวิตของเราทุกคนจะได้ปลอดโปร่ง ปลอดภัย และพบแต่สิ่งที่ดีๆ
ท่านอาจารย์ยันตระในวัย ๖๒ ปี ท่านจะเป็นอย่างไรเราไม่อาจรู้ความจริงอย่างแน่ชัดได้ บัดนี้สตรีที่เคยกล่าวหาท่านก็สิ้นชีวิตไปแล้ว ตัวท่านอาจารย์ท่านก็ได้แต่พูดกับผู้คนที่ไปหาท่านในยามที่ท่านหมดสิ้นลาภสักการะและสูญสิ้นชื่อเสียงทั้งปวงในเวลานี้ว่า "อย่าไปสนใจเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วเลย จงมีสติตั้งหน้าทำความดีของเราในแต่ละวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าไปสนใจความถูกความผิดของคนอื่น จงรักษาความเป็นกลางของใจเราไว้ อย่าปล่อยให้ดวงใจของเราหวั่นไหวไปกับอารมณ์แห่งความยินดียินร้าย เราจะได้มีความสุขและร่มเย็นทุกวัน"
สำหรับผู้ที่ไม่มีความยึดติด "ความเป็นพระ"เพียงแค่รูปแบบภายนอก แต่เข้าใจความหมายแห่งความเป็นพระอันแท้จริงว่า "ความเป็นพระอยู่ที่ใจ" ท่านอาจารย์ยันตระได้ฝากคติธรรมสอนใจไว้แก่ผู้คนทั้งหลาย ในยามที่ทุกคนกำลังต้องการแสงสว่างทางปัญญา โดยขอให้ทุกคนมีหลักในใจไว้ว่า
"เห็นโลกโดยความเป็นของว่าง มองทุกอย่างเป็นธรรมดา รู้แจ้งชัดอนัตตา แล้วชีวาจะร่มเย็น"
คุรุอตีศะ
๒๖ เมษายน ๒๕๕๗