คำทำนายนารีขี่ม้าขาว
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
คำทำนายนารีขี่ม้าขาว
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาแห่งยุค ท่านได้อภิญญามาแล้วก่อนที่จะเข้าไปเรียนบาลีในกรุงเทพฯ ได้รู้เห็นพฤติกรรมท่านเจ้าคุณและพระในเมืองกรุงสมัยนั้นด้วยทิพยจักษุ สามารถติดต่อกันทางจิตกับพระมหาเถระผู้ใหญ่บางรูปจนเป็นที่ประจักษ์ เมื่อหลวงพ่อเรียนจบบาลีเปรียญธรรม ๔ ประโยค ท่านได้หยุดเรียนเพียงเท่านั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วได้กลับไปบูรณะวัดจันทาราม (ท่าซุง) ซึ่งมีสภาพแทบจะเหมือนวัดร้างในเวลานั้น เมื่ออายุท่านได้ ๕๒ ปี
หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เคยทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ว่า ในตอนปลายรัชกาลที่ ๙ ประเทศไทยจะเริ่มค้นพบแหล่งน้ำมันและแหล่งแร่ทองคำ แต่จะนำเอาขึ้นมาไม่ได้เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่มีศีลธรรมพอ จนกว่าจะถึงรัชกาลที่ ๑๐ ทรัพยากรที่สำคัญจะถูกนำขึ้นมาใช้สอย สำหรับน้ำมันดิบนั้นท่านบอกว่าใช้ไปอีก ๔๐๐ ปีก็ยังไม่หมด จะพบแร่ที่สำคัญที่ทั่วโลกต้องการในประเทศไทย ถึงเวลานั้น พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรือง และเกิดมีพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ที่ลงมาบำเพ็ญบารมีจำนวนมาก พระพุทธศาสนาจะเป็นหลักชัยของชาวโลก
มีคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งโด่งดังมาก ซึ่งลูกศิษย์ของท่านได้ประพันธ์เป็นบทกลอนไว้ เป็นคำทำนายที่มีอายุไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี ก่อนที่เมืองไทยจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆอย่างทุกวันนี้
บทกลอนนี้มักจะได้ยินผู้คนตัดตอนมาอ้างเป็นบางตอนเป็นส่วนใหญ่ แต่ก่อนก็ได้อ่านแต่เพียงบางตอนเช่นกัน แต่บัดนี้ได้ค้นพบฉบับเต็มสมบูรณ์ จึงอยากนำมาลงไว้ให้ทุกคนที่มีความสนใจได้อ่านกัน บทกลอนที่ว่านั้นคือ คำทำนายว่าด้วย “นารีขี่ม้าขาว” โดยขออนุญาตคัดลอกมา ดังมีเนื้อความดังต่อไปนี้
คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สี่คนหามสามคนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพฯ
คำกลอนนี้ต่อมาภายหลังวัดท่าซุงได้ประกาศว่า “ไม่ใช่คำพยากรณ์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ” แต่เป็นคำกลอนที่ศิษย์แต่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคำกลอนนี้ก็ได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และโด่งดังที่สุดแห่งยุคไปแล้ว เนื่องจากเป็นคำทำนายที่แม่นยำอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องน้ำมันผุดก็ดี เรื่องผู้คนแตกแยกเป็นสองฝักสองฝ่ายเหมือนกลายเป็นสองแผ่นดินก็ดี ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นความจริงอย่างไม่น่าเชื่อและก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
ยังเหลืออยู่แต่คำทำนายที่กล่าวถึง “นารีขี่ม้าขาว” เท่านั้น ที่ยังไม่เด่นชัดว่าจะหมายถึงบุคคลใด คำว่า “อัศวินขี่ม้าขาว”หรือ “นารีขี่ม้าขาว” ย่อมหมายถึงคนที่เคยอยู่นอกสายตาของผู้คนในยามบ้านเมืองปกติสุข แต่เหตุการณ์จะบังคับทำให้เกิดบุคคลชนิดนี้ขึ้นมา
ใครคือสตรีผู้เคยอยู่นอกสายตาของผู้คนทั้งหลายมาตลอด แต่ได้เป็นผู้ขี่ม้าขาวย่างเท้าเข้ามาท่ามกลางความขัดแย้งวุ่นวาย จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนผ่านก้าวสู่ยุคใหม่ตามคำทำนายนี้ ที่ผู้ชอบคำทำนายหรือนิยมโหราศาสตร์ทั้งหลายจะต้องเฝ้ารอดูกันต่อไป
คุรุอตีศะ
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗