ไร้การพยายาม

ไร้การพยายาม

 


            ตามที่กล่าวไว้แล้วว่า การปฏิบัติธรรมทุกวิธีหรือทุกสำนัก ล้วนเป็นการเน้นให้ทุกคน “พยายามปฏิบัติ” เพื่อให้บรรลุถึงสิ่งหนึ่งตามที่ใจของตนปรารถนา เพราะธรรมชาติของคนเราทุกคนย่อมรู้สึกว่าทุกสิ่งสำเร็จได้ตลอดมา ก็เพราะตัวเรานี้เป็นผู้กระทำ


            การปฏิบัติธรรมอันเป็นนามธรรม ทุกคนก็รู้สึกว่าต้องทำแบบนั้น  การบรรลุธรรมจึงจะเกิดขึ้น  ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวิธี “เข้าไปพยายามกระทำ”เช่นนั้น สิ่งบรรลุคือสมาธิหรือฌานสมาบัติ ซึ่งบุคคลใดดำเนินตามหลักวิชาที่กำหนดไว้ สมาธิหรือฌานย่อมสำเร็จได้ แต่ “ธรรม”อันแท้จริงไม่อาจบรรลุได้ด้วยวิธีนั้น แต่ธรรมย่อมบรรลุถึงได้เมื่อใจไร้ความพยายาม


            การปฏิบัติที่ยากลำบากและใช้เวลานานมากสำหรับความรู้สึกของบางคน  ก็เพราะการเอาอัตตาตัวตนนี้เข้าไปปฏิบัติ การพยายามที่จะปฏิบัติให้ได้ จึงเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ แต่สำหรับบางคนการปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าเป็นของง่าย ก็เพราะมีความเข้าใจที่แยบคายในการวางจิตให้พอดี  ไม่เอาตัณหาอุปาทานนำหน้า แต่เอาสติปัญญาเป็นตัวนำในการเจริญอริยมรรค


             ผู้ที่ปฏิบัติทุกข์ยากลำบาก  เพราะความอยากบรรลุหรืออยากได้พระนิพพาน  เมื่อจิตประกอบด้วยตัณหาความดิ้นรนทะเยอทะยาน ประกอบด้วยอุปาทานคือยึดมั่นว่าพระนิพพานเป็นสิ่งประเสริฐต้องบรรลุให้ได้   จิตจึงไม่ตั้งมั่น เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย จิตห่างไกลจากความเป็นกลาง  ดังนั้น การปฏิบัติจึงต้องยากลำบากและใช้เวลานานมาก  ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งรู้สึกว่าไกล  ส่วนใหญ่เป็นผู้มีจริตในทางมีศรัทธามาก  แต่ปัญญาไม่แก่กล้า  จึงเป็น”ทุกขาปฏิปทา”  ต้องปฏิบัติด้วยความทุกข์ยากลำบาก จึงจะบรรลุและแจ่มแจ้งในสัจธรรม


            ส่วนผู้ที่มีปัญญาแก่กล้า  กระทำไว้ในใจด้วยความแยบคายว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นและดับไปด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องมีบุคคลใดเข้าไปพยายามเพื่อให้เกิดสิ่งใดหรือดับสิ่งใด  ไม่ต้องพยายามเพื่อบรรลุสิ่งใด  เพราะสิ่งที่ตนอยากบรรลุนั้น  ทุกคนมีอยู่แล้ว  การบรรลุธรรมไม่ใช่การได้อะไรมาใหม่ แต่คือการได้จิตเดิมแท้กลับคืนมา  พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่บนฟากฟ้าหรือสูงส่งอะไร สามารถพบได้ที่ใจดวงนี้นั่นเอง  เพียงจิตดวงนี้หยุดเย็น ก็เห็นพระนิพพาน


             ผู้ที่มีความเข้าใจในรหัสนัยเช่นนี้  จึงไม่พยายามเพื่อจะให้บรรลุสิ่งใด แต่พยายามที่จะไม่ให้จิตนี้เผลอสติไปคิดอยากบรรลุสิ่งใดมากกว่า  เพราะมีความเข้าใจที่แยบคายว่า ยิ่งพยายามที่จะบรรลุ ยิ่งทำให้เนิ่นช้า  ยิ่งอยากบรรลุพระนิพาน  พระนิพพานย่อมไกลออกไป  แต่เมื่อจิตไร้ความพยายามเมื่อไหร่ พระนิพพานก็ใกล้เข้ามาทันที  บุคคลใดที่เข้าใจรหัสนัยนี้  การปฏิบัติธรรมจะไม่เป็นการยากลำบาก  กลายเป็นผู้ปฏิบัติแบบ “สุขาปฏิปทา”โดยอัตโนมัติ

 

             ผู้ปฏิบัติแบบเข้าไปกระทำเพื่อให้บรรลุ เป็นการปฏิบัติด้วยการเอาตัณหาอุปาทานนำหน้าโดยไม่รู้ตัว  เพราะสติปัญญายังไม่แยบคายและไม่รู้เท่าทันว่าจิตของตนมีความอยากนำหน้า  จิตจึงต้องเผชิญกับนิวรณ์อย่างหนัก ต้องเอาชีวิตเข้าแลก จิตจึงจะยอมละทิ้งความเป็นอัตตา  จนกว่าจิตจะยอมละพยศและยอมรับความจริงว่า ที่ทุกข์ยากตลอดมาก็เพราะถูกตัณหาชักพาไปเป็นทาสโดยไม่เคยรู้ตัวแม้แต่น้อย  แท้จริงแล้วชีวิตนี้ที่ทุกข์ยากแสนสาหัสก็เพราะตัณหาและอุปาทาน คือความอยากและความยึดมั่นถือมั่นของตนนั่นเอง


               ส่วนบุคคลใดที่มีวาสนาได้ปฏิบัติธรรมมาหลายภพหลายชาติ  มีโอกาสได้สดับกระแสธรรมที่ให้รู้เท่าทัน “ความอยากบรรลุ”นี้ตั้งแต่ต้น ซึ่งสิ่งนี้ขัดขวางการบรรลุมรรคผลของตนมาทุกชาติทำให้ไปไม่ถึงไหน  ปฏิบัติในชาติใดก็บรรลุแต่สมาธิแล้วก็มักเข้าใจผิดว่าเป็นการบรรลุมรรคผล  เพราะจริตของตนมีอุปาทานในความเคร่งครัดและต้องการบรรลุมากเกินไป


              หากในชาตินี้ได้ยินคำว่า “ไม่ต้องปฏิบัติอะไรและไม่ต้องบรรลุถึงอะไร” จิตของบุคคลนั้นอาจเกิดความสว่างไสวโดยขณะนั้นกำลังตักข้าวใส่ปากก็ได้  บางคนกวาดใบไม้ไปแล้วก็รู้แจ้งขึ้นมาในขณะมือกำลังจับด้ามไม้กวาดนั่นเองก็มี นี้คือ อกาลิโก ความไม่มีข้อจำกัดของกาลเวลา เพราะการรู้แจ้งสัจธรรมนั้นไม่ขึ้นกับกาลเวลา  ไม่ขึ้นกับท่าทาง ไม่ขึ้นกับรูปแบบใดๆ


             สำหรับข้อปฏิบัติในเบื้องต้น  ครูบาอาจารย์ย่อมจะสอนให้ทุกคน “พยายามปฏิบัติ”ไปก่อน เป็นการอนุโลมตามจิต  จนกว่าอินทรีย์ได้รับการบ่มจนได้ที่  หลังจากนั้นท่านอาจชี้ให้บุคคลนั้นวางความพยายามลง  จิตจะได้ปล่อยปลงเกิดความผ่อนคลายเข้าสู่ความเป็นมัชฌิมาปฏิทา   การปฏิบัติธรรมที่บางคนเริ่มรู้สึกว่าถึงทางตันและไม่ก้าวหน้าเหมือนเมื่อก่อน จงหันมาดำเนินจิตในวิถีแห่งการไร้ความพยายามนี้  บางทีความสว่างไสวอาจเกิดขึ้นในฉับพลัน


            ส่วนบางคนนั้นปฏิบัติมาตั้งมากแล้วก็ไม่เคยบรรลุสมาธิอะไรเหมือนคนอื่นเขา  แสงสี เทวดา พญานาค พระอินทร์ เมืองลับแลหรืออะไรก็ไม่เคยได้เห็นแม้แต่น้อย จนเกิดความท้อแท้และหมดอาลัยว่าตัวเรานี้ช่างด้อยวาสนา  คนอื่นเขาบอกว่านั่งสมาธิแล้วรู้เห็นอะไรตั้งมากมาย แต่ตัวเราทำไมไม่เห็นอะไร  เห็นอยู่อย่างเดียวคือ เห็นใจของตัวเองที่คิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา


           บางทีอาจะเป็นเพราะว่าจิตของเราได้ดำเนินมาถูกต้องแล้วด้วยสติและปัญญา  บุญบารมีจึงค้ำจุนจิตดวงนี้ไม่ให้ตกลงสู่ภวังค์ให้ต้องตกเป็นทาสของนิมิตต่างๆในชาตินี้ให้เสียเวลาอีก  สติได้คุ้มครองไม่ให้จิตของเราหลงออกนอกทางของสัมมาอริยมรรค ดังนั้น จงมาทำความรู้จักกับการ “ไร้การพยายามเพื่อบรรลุสิ่งใด” มรรคผลที่เราเคยปรารถนาไว้เมื่อชาติที่แล้ว อาจถึงเวลาเข้าสู่กระแสแห่งการรู้แจ้งสว่างไสวในคราวนี้ก็ได้


              ปล่อยให้จิตดวงนี้อิสระสู่ธรรมชาติ  ไม่ต้องอยากบรรลุสิ่งใด  อยู่กับความสงบก็ได้ อยู่กับความวุ่นวายก็ได้  ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปและคลี่คลายในตัวมันเอง


             จงเป็นเพียงผู้ดู อย่าพยายามเป็นผู้แสดง  จงอย่าพยายามเข้าไปปรุงแต่งหรือพยายามควบคุมสิ่งใด นี้คือ วิถีแห่งความไร้ความพยายาม ไร้ความกำหนดหมาย  สุดท้าย สิ่งที่แสวงหามาเนิ่นนาน อาจอยู่บนหน้าผากของเรานี้เอง

 

                                                                                                        คุรุอตีศะ
                                                                                                ๑๓  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗