กลับคืนสู่ตัวเอง

กลับคืนสู่ตัวเอง

 


            ความล่มสลายของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ  การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดทั้งด้านอื่นๆที่เราต่างกำลังประสบกันอยู่เวลานี้  คือตัวบ่งชี้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เป็นแม่บทในการเริ่มต้นพัฒนาประเทศตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา อันเป็นแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งใช้ระบบการศึกษา ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ โดยเอาศาสนาหรือศีลธรรมไว้ข้างหลัง โดยมองว่าพุทธศาสนาเป็นสิ่งขัดขวางการพัฒนา ระยะเวลา ๕๐ ปีตลอดมานั้นคือความล้มเหลวอย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้


             เหตุใดหนอ จิตใจของผู้คนทั้งหลายทั้งที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย  แต่หัวใจของผู้คนส่วนใหญ่กลับป่วยไข้ เพราะความมีมนุษยธรรม ความรัก ความมีเมตตาต่อกันลดน้อยลงไป  นี้คือจุดเปลี่ยนแปลงของประเทศครั้งใหญ่ที่เราทั้งหลายต้องได้เผชิญร่วมกัน


           ระบบอุตสาหกรรมทำให้ผู้คนหลงใหลในบริโภคนิยม  ผู้คนกลายเป็นนักวัตถุนิยมโดยอัตโนมัติ เพราะไม่ต้องลำบากในการทวนกระแสกิเลสแต่อย่างใด


           จากเจตนาดีดั้งเดิมของการอุตสาหกรรม ที่มุ่งผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากขาดแคลนของผู้คน ก็เริ่มกลายเป็นการสั่งสมของผู้มีกำลังแห่งทุนทรัพย์มากกว่าคนอื่น  จากการผลิตเพื่อให้แต่ละคนมีกินมีใช้ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป  ก็กลายเป็นความโลภ ความต้องการที่เกินความพอดีไป  สุดท้ายกฎแห่งกรรมก็บันดาลให้แต่ละคนได้ช่วยกันทำลายสิ่งเคยพัฒนาช่วยกันมา ด้วยอำนาจโลภ โกรธ หลง นั้นเอง


             เวลา ๕๐ ปีที่คนในชาติพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง  เราพัฒนาได้แต่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเท่านั้น  แต่คุณภาพของคนเราแทบไม่ได้พัฒนาเลย  การศึกษาเราก็พัฒนาแต่การหาวิธีให้คนเรียนจบปริญญา แต่จิตใจของผู้ที่เรียนจบมา จะได้รับการพัฒนาพร้อมกับการเรียนตำราหรือไม่ ไม่มีใครสนใจ เราจึงได้แต่หนุ่มสาวที่ได้กระดาษมาหนึ่งใบ ที่ไม่รู้เลยว่าชีวิตของเขาจะเริ่มต้นอย่างไรต่อไป  เขาจึงคิดได้แต่เพียงว่าจะต้องหาเงินให้ได้มากกว่าใครๆเท่านั้น


             ในทางพระศาสนา  เราก็ออกกฎหมายบังคับให้พระเป็นเพียงนักพัฒนา นักปกครอง เลียนแบบกำนันผู้ใหญ่บ้านในทางโลกเท่านั้น  พากันส่งเสริมให้พระเป็นนักก่อสร้างทางวัตถุมากกว่าให้ท่านสร้างหัวใจของท่านให้เป็นพระที่แท้จริงให้สมกับเป็นผู้นำจิตวิญญาณ  ส่วนพระที่ท่านแสวงหาพระนิพานต้องหลบหนีเข้าป่าเพราะไม่ถูกใจชาวบ้านและถูกใจทางราชการ  พอพระท่านมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับชาวบ้าน  ก็พากันประจานว่าศาสนาเสื่อมโทรม


              จากที่เคยศึกษาความเป็นไปของพระศาสนาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส และได้อุทิศอนาคตทั้งชีวิตเข้ามาบวชในพระศาสนา  ตลอดทั้งการได้รับการศึกษาอบรมมาจากทั้งพระป่าและพระบ้าน  ต้องอยู่ในป่าถึง ๕ ปี หลังจากนั้นก็ยังทิ้งสำนักออกธุดงค์ทุกปีจนอายุถึง ๔๕  แล้วยังต้องคร่ำเคร่งกับการเรียนบาลีอยู่ตั้ง ๑๒ ปีทั้งที่ไม่อยากเรียนแม้แต่น้อย  แต่ด้วยความเคารพต่อครูบาอาจารย์ว่าต่อไปภายหน้าจะต้องได้ใช้ ก็พากเพียรเรียนจนสำเร็จ  ทั้งที่บวชมาก็อยากอยู่กับการบำเพ็ญสมาธิมากกว่า  ครูบาอาจารย์ท่านก็ย้ำให้เรียนไว้เพื่อทำหน้าที่บางอย่างในวันข้างหน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหน้าที่นั้นคืออะไร ก็อยากพูดกับท่านทั้งหลายที่อ่านธรรมะตลอดมาว่า พระพุทธศาสนาที่เป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะอิทธิพลของการเมือง การปกครอง กฎหมาย และการศึกษาของทางโลกนั้นเองเป็นส่วนสำคัญ  ไม่ใช่เป็นเพราะตัวของพระที่เข้ามาบวชเท่านั้นเพียงฝ่ายเดียว


              หากเราจะช่วยกันประคับประคองประเทศชาติบ้านเมืองให้อยู่รอด  ขอให้ทุกฝ่ายที่ทะเลาะกันอยู่นั้นจงหันกลับคืนสู่ตัวเอง  จงย้อนกลับคืนไปมองในอดีตหนหลัง  ว่าเมื่อก่อนนั้นเรามีอะไรกันมาบ้าง  บางคนนั้นก็เคยเป็นคนตกงานหมดอนาคตเดินข้างทาง แต่วันนี้กลับเป็นนักเขียน เป็นสื่อมวลชนผู้มีอิทธิพลในบ้านเมือง


               บางคนก็เป็นเพียงคนบ้านนอก ในตอนนั้นหากได้ไปทำงานในกรุงเทพฯได้ก็ยิ่งใหญ่แล้ว  แต่บัดนี้กลับเป็นผู้ทรงอิทธิพลเหนือกว่าใคร  แล้วจะยังมีอะไรต้องสูญเสียในวันนี้


             หากย้อนคืนมองข้างหลังเมื่อครั้งก่อน  หลายคนจะรู้แก่ใจว่า  เราแทบไม่เคยคิดว่าเราจะมีอะไรมากมายได้ถึงเพียงนี้   ตอนแต่งงานใหม่ๆ  ได้แต่พากันภาวนาว่าชาตินี้ไม่ต้องเช่าบ้านเขาอยู่และมีทีวีสักเครื่องเป็นของตัวเองก็สุดภูมิใจแล้ว  แต่ตอนนี้มีอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย  มีทั้งบ้านหลังใหญ่แถมยังมีรถยนต์ตั้งหลายคัน


            เมื่อสังคม เศรษฐกิจ การเมืองเป็นเช่นนี้  เราต้องไม่วิ่งตามกระแสเหมือนคนอื่น  แต่ต้องฉลาดย้อนกลับคืนมองตัวเอง  ความฉลาดและความเก่งจะไม่สำคัญเท่ากับความหนักแน่นและอดทนในยามนี้


            แต่ก่อนเราอาจอยากได้อะไร ก็อาจหามาได้ดังใจ  แต่ตอนนี้บรรยากาศเช่นนั้นไม่เป็นใจอีกแล้ว  ผู้ที่จะรอดและผ่านพ้นสิ่งต่างๆไปได้  คือผู้ดำรงไว้ซึ่งศรัทธาและสติอันมั่นคง


           กลับคืนสู่ตัวเองขณะนี้  เราได้วิ่งตามสิ่งอื่นและคนอื่นมามากแล้ว มาอยู่กับลมหายใจของเรา  มาอยู่กับเนื้อกับตัวของเรา  ให้หัวใจของเราได้พักผ่อนบ้างเสียที


          จงคิดถึงปวงเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย  ที่จิตของท่านได้หลุดพ้นไปแล้วจากกระแสความขัดแย้งทั้งปวง  สิ่งต่างๆที่ทุกคนเห็นเป็นความสำคัญและต่อสู้แย่งชิงกันนั้น  อีกไม่นานก็เสื่อมสูญไปกลายเป็นอดีตทั้งหมด


           จงหันมาสนใจหัวใจของตัวเองให้มาก  หัวใจดวงนี้ทุกข์ยากลำบากมามากแล้ว  หากความตายมาถึงวันนี้แล้วเราจะพึ่งสิ่งใด  ความยิ่งใหญ่และผู้คนทั้งหลายที่แวดล้อม สุดท้ายก็เหลือเพียงภาพบันทึกและความทรงจำ


          อีก ๓ วัน ก็ถึงวันพระอรหันต์ของโลก คือวันมาฆบูชา จงหันหน้าเข้าหาศาสนาเป็นที่พึ่ง จงพากเพียรกระทำอามิสบูชาตามกำลังทรัพย์ กำลังศรัทธา  จงปฏิบัติบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตัวเอง


          จงย้อนกลับคืนสู่ความเป็นจริงของชีวิตเถิด  สิ่งประเสริฐคือกายนี้และใจนี้ที่มีสติอยู่เสมอ  อยู่กับวันนี้ด้วยจิตใจที่ดี  ชีวิตของเราย่อมเต็มเปี่ยมแล้วทุกทิวาราตรีกาล

 

                                                                                    คุรุอตีศะ
                                                                            ๑๑  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗