ชีวิตในศาสนา

ชีวิตในศาสนา

 


           ชีวิตของบุคคลในศาสนา  เป็นชีวิตของผู้ที่มีความสุขจากการไม่ต้องมีครอบครัว ความสุขชนิดนี้ท่านเรียกว่า “นิรามิสสุข” คือความสุขที่ไม่ต้องอาศัยเหยื่อล่อ ผิดจากความสุขทางโลก ที่ต้องอาศัยเหยื่อจึงจะทำให้เกิดความสุข


          ความสุขทางโลกจึงเรียกว่า “อามิสสุข” คือความสุขจากการที่ต้องอาศัยเหยื่อ  เป็นความสุขที่มักตามมาซึ่งความเผ็ดร้อนและความกระวนกระวายใจอยู่เสมอ  ผู้ที่อยู่กับความสุขชนิดนี้จิตจึงยากที่จะสงบสุข มีสมาธิ และปลอดโปร่งหัวใจ  เป็นชีวิตที่วิ่งไล่ไขว่คว้าความสุขอยู่ตลอดเวลา  สิทธัตถะกุมารพระองค์ทรงมีความสุขแบบนี้ตลอดมาก่อนออกแสวงหานิรามิสสุข


          ผู้ที่ยังยินดีพอใจในวิสัยของชาวโลก  จึงยากจะเข้าใจชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในทางศาสนา  เปรียบเหมือนชีวิตของนกที่บินไปในท้องฟ้า ย่อมไม่เป็นที่เข้าใจของปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ  ปลาย่อมสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่านกบินได้อย่างไร  เพราะตามวิสัยของปลา ย่อมคิดว่าการจะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยการแหวกว่ายอยู่ในน้ำเท่านั้น


          การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีใจยินดีและมีความสุขในทางศาสนา  จะต้องมีสติปัญญามองเห็นว่าสิ่งที่ตนเองเคยดิ้นรนแสวงหาและเคยมองเห็นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่  แท้จริงแล้ว ถึงวันหนึ่งเมื่อต้องละโลกนี้ไป  สิ่งที่เคยหวงแหนยึดมั่นว่าเป็นสาระทั้งหลาย สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร ที่จะติดตามตัวเองไปได้ในโลกหน้าแม้แต่สิ่งเดียว


          ทรัพย์สินเงินทองที่สั่งสมมาแทบตาย  ที่สุดก็เอาติดตัวไปไม่ได้แม้แต่น้อย  สามีภรรยาที่เคยรักและหวงแหนกันสักแค่ไหน  เมื่อเราตายไป เขาก็อาจไปมีคนใหม่และลืมเราได้สนิท ไม่สมกับที่ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจในวันเผาเราแม้แต่น้อย  ลูกหลานที่เคยเอาแต่นั่งคอยพึ่งพาเราเหมือนจะพึ่งตัวเองไม่ได้  แต่สุดท้ายเขาก็อยู่ได้กันสุขสบายกันทุกคน  บางทีกลับสนุกสนานผลาญทรัพย์ที่เราอุตส่าห์อดออมไม่กล้าใช้มาตลอดชีวิต พวกเขากลับเอาไปทำอย่างอื่นและลืมทำบุญให้เราก็มี  นี้คือการมองเห็นความไม่มีสาระของสิ่งที่ตัวเองเคยยึดมั่นว่าเป็นสาระ


             จิตใจของผู้สละทางโลกได้  ย่อมมาจากจิตใจที่มองเห็นความไม่เป็นแก่นสารของชีวิต จึงได้อุทิศตนให้กับศาสนา  เพราะรู้ว่าก่อนร่างกายนี้จะแตกดับลง  เราก็ยังได้เอาร่างกายและหัวใจนี้ทำคุณประโยชน์ในการค้ำจุนพระศาสนาให้มั่นคงยืนยาวสืบไป


              หากจะเอาร่างกายและหัวใจนี้ ไปทุ่มเทแสวงหาในสิ่งที่คนทั่วไปพากันยินดีนั้นก็ทำได้ บางทีอาจจะทำได้ดีกว่าและมากกว่าคนอีกหลายคน  แต่เมื่อมองเห็นหนทางอันประเสริฐคือทางหลุดพ้นและการที่ชีวิตย่อมสามารถมีความสุขได้ ด้วยการมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายและสบายใจไปแต่ละวันเท่านั้นเอง  ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไขว่คว้าอะไรให้มากมาย ชีวิตนี้ก็มีความสุขแล้ว


             การจะใช้ชีวิตในทางศาสนาอย่างมีความสุข  ต้องมองเห็นคุณค่าของการดำรงอยู่ของศาสนามากกว่าสิ่งอื่น  มองเห็นความเสียสละอุทิศตนของบุคคลที่ท่านสืบอายุพระศาสนามาถึงพวกเรา  จนเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาในดวงใจว่า ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปจากนี้ ขออุทิศให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นแสงสว่างต่อมวลมนุษย์ให้ยืนนาน  เราจะขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยค้ำจุนส่งเสริมให้พระอริยเจ้าทั้งปวงได้ประกาศศาสนาเพื่อชาวโลกต่อไป


               หัวใจของบุคคลที่เอาพระศาสนาเป็นหลักชัยเช่นนี้  ความรักตามวิสัยของชาวโลกทั่วไป ไม่อาจมาทำให้หัวใจของท่านต้องแปดเปื้อนหรือหวั่นไหวแม้แต่น้อย


               ความรักตามวิสัยของชาวโลก เปรียบเหมือนแสงเทียนเล่มน้อย ที่ลมพัดมานิดหน่อย เทียนนั้นก็ดับ  ส่วนความรักของบุคคลที่อุทิศตนให้ศาสนา ย่อมเหมือนแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้า  แม้พายุจะพัดกล้าสักเพียงใด  แสงไฟนั้นก็ไม่มีทางดับได้  ความรักแบบสามีภรรยาหรือหนุ่มสาวทั่วไป  จึงไม่อาจนำมาเทียบกับความรักอันยิ่งใหญ่กับความรักพระศาสนาได้เลย


              ไม่ต้องกล่าวถึงหัวใจของบุคคลที่ท่านเข้าถึงสัจธรรม บรรลุธรรมถึงขั้นพระอนาคามีพระอรหันต์ ซึ่งจิตของท่านก้าวข้ามพ้นความรักทั้งปวงตามวิสัยชาวโลกได้เด็ดขาดแล้ว  เพียงแค่พระอริยบุคคลชั้นต่ำคือพระโสดาบัน  หัวใจอันเปี่ยมล้นในความรักต่อพระรัตนตรัยของท่าน ย่อมไม่มีสิ่งใดมาทำให้ไหวหวั่น หรือโยกโคลงศรัทธาอันมั่นคงของท่านได้อีกแล้ว


             ความรักของท่านจึงมีความผ่องแผ้วและมีความแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นความรักที่ประณีตและสูงกว่าความรักแบบหญิงชายทั่วไป


             จิตของพระโสดาบันจะมีความรักต่อพระศาสนาอย่างคงมั่น  ยิ่งกว่าความรักอมตะของพระเอกนางเอกในนวนิยายหลายเท่า  ความรักเช่นนั้นยังเต็มไปด้วยความหมองเศร้าขุ่นมัวตลอดทั้งเรื่อง  แต่ความรักของพระโสดาบันที่เป็นความรักต่อศาสนา จะไม่ตกเป็นทาสของความรักแบบนั้น  แต่จะมีความสุขจาการได้อุทิศกายและใจเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ส่วนความรักแบบชาวโลกทั้งปวงนั้น  ไม่มีความสำคัญสำหรับท่านแต่อย่างใด


             ความรักตามแบบชาวโลก  มุ่งหวังความสุขที่รออยู่เบื้องหน้า  แต่ความรักของพระอริยบุคคลที่มีใจมั่นคงต่อศาสนา  จะมีความสุขในชีวิตปัจจุบันตลอดเวลา  เพราะภายในหัวใจจะเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ต้องดีเหมือนวันนี้แน่นอน หากใจของเราดี


             ชีวิตของบุคคลที่มีความสุขในทางศาสนา  ความสุขนั้นย่อมไม่ขึ้นกับวัตถุสิ่งของภายนอก  เพียงมีอาหารพออิ่มท้องไปวันหนึ่ง ชีวิตนั้นก็มีความสุขแล้ว  เพราะบุคคลชนิดนี้ค้นพบเคล็ดลับของความสุขในชีวิตแล้วว่า ความสุขทั้งมวลอยู่ที่ใจของเรานี้เอง

 

             ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสรรเสริญชีวิตที่ประเสริฐเช่นนี้ว่า


             “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อริยสาวกของเราผู้โสดาบัน  แม้นุ่งท่อนผ้าเก่าๆ หาเลี้ยงด้วยปลีแข้ง  เธอไม่มีสมบัติสิ่งใดในสายตาชาวโลก  แต่ถึงอย่างนั้น  ชีวิตของเธอก็ประเสริฐกว่าการเป็นเทพเจ้าในสิบหกชั้นฟ้า  ประเสริฐกว่าการเป็นพระราชาผู้ครอบครองอาณาเขตในทวีปทั้งสี่ ประเสริฐกว่าการเป็นอธิบดีความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง
                ชีวิตของเธอย่อมไม่มีการตกต่ำเป็นธรรมดา เธอจะไม่มีการตกไปสู่สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกอีกแล้ว  เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้ต่อไปในเบื้องหน้า   เกิดใหม่ไม่เกินเจ็ดชาติก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์”


              บุคคลที่มีใจมั่นคงต่อพระรัตนตรัย ความรักในหัวใจของเขาหรือเธอจะไม่เหมือนความรักของคนทั่วไปอีกแล้ว เพราะภูมิจิตได้เลื่อนสูงขึ้นจนมีความรักชนิดใหม่ขึ้นมาแทนที่ นั่นคือ “ความรักในศาสนา” อันเป็นความรักที่มีความอบอุ่นใจตลอดเวลา เป็นความรักที่เหนือกว่าความเป็นหญิงเป็นชาย  เป็นความรักที่จะพากันออกจากวัฏฏสงสารเป็นหลักใหญ่ เป็นความรักที่วันวาเลนไทน์ไม่มีความหมายอีกต่อไป  เพราะเป็นรักที่ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าการแต่งงาน


             หากบุคคลใดเกิดปัญญามองเห็นชัดด้วยตนเองว่า  ชีวิตของคนเราอยู่ไม่นานนักก็ตายแล้ว  แต่ละคนต้องพลัดพรากจากลูก จากสามีภรรยา  จากญาติมิตรเพื่อนฝูง จากทรัพย์สมบัติและอำนาจเกียรติยศทั้งปวง  หากวันใดความตายมาถึงในวันหนึ่ง  สิ่งเหล่านี้ย่อมติดตามเราไปสู่สัมปรายภพไม่ได้แม้แต่เงินบาทเดียว


           เมื่อมองเห็นว่า “ผู้คนทั้งหลาย ไม่มีใครติดตามเราไป เมื่อเราไปสู่โลกหน้า” จิตของผู้นั้นย่อมคลายความยึดติดจากความหลงในสงสาร  ใจย่อมจางคลายจากความรักความชัง จิตย่อมคลายจากพันธนาการเครื่องร้อยรัดทั้งปวง มองเห็นอย่างเด่นชัดว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี


            นี้คือหัวใจของบุคคลผู้ใช้ชีวิตในศาสนา  เปรียบดังนกที่บินไปในฟากฟ้ากว้าง  การเกี่ยวข้องกับปลาที่อยู่ในน้ำ  ก็ด้วยน้ำใจเกื้อการุณย์และหวังอนุเคราะห์เกื้อกูลเพื่อสร้างปีกให้ปลาบินได้เท่านั้น  แต่ปลาส่วนใหญ่ก็พอใจจะแหวกว่ายเล่นน้ำกัน  ปลาที่คิดจะติดปีกบินได้นั้นหาได้ยากเต็มที

 

             แต่ก็ยังมีปลาที่พร้อมจะบินอยู่  พระอริยเจ้าทั้งปวงท่านก็อยู่เพื่อปลาชนิดพิเศษนี้นั่นเอง  ถ้าเอาตามหัวใจของท่านแล้ว  ท่านย่อมพอใจเหินบินไปอย่างอิสระในท้องฟ้ามากกว่า


           ชีวิตของบุคคลในศาสนา ย่อมมองเห็นในสิ่งที่ต่างจากคนทั่วไปว่า การแต่งงานมีครอบครัวและการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ เกียรติยศ ตำแหน่งต่างๆเป็นเพียงการทำในสิ่งที่ร้อยรัดตัวเองไว้ในวัฏฏสงสาร มีความวิตกกังวลและหม่นหมองใจเป็นเบื้องหน้า


           แท้ที่จริงแล้วยังมีความรักที่มีความสุขกว่าและประณีตกว่านั้น คือความรักที่อุทิศตนให้กับศาสนา  อันเป็นความรักที่อบอุ่นและแจ่มใสตลอดเวลา


          ความรักเช่นนี้แหละที่เติมเต็มหัวใจของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ให้ท่านมีความสุขและอิ่มเย็นไม่มีวันเวลา  อันเป็นความสุขที่ปลาไม่มีวันเข้าใจความสุขของนกโดยแน่นอน

 

                                                                                                  คุรุอตีศะ
                                                                                           ๑๐  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗