ที่รักเรารักกันไม่ได้
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ที่รักเรารักกันไม่ได้
“...ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้ เพราะว่าหัวใจของเธอนั้นมีเจ้าของ น้องต้องสะอื้น กล้ำกลืนแต่น้ำตานอง ไม่อาจจะเรียกจะร้อง ให้เธอนั้นมาเคียงใกล้ .....หัวใจของน้อง ร่ำร้องหาเธอเช้าค่ำ แสนจะระกำ น้ำตาไม่มีจะไหล อยากคิดลืมพี่ แต่แล้วก็สุดหักใจ...ไม่อาจห้ามใจได้ไหว เพราะว่าหัวใจฉันเป็นทาสเธอ....”
เสียงเพลงเศร้าๆดังจากลำโพงเครื่องเสียงภายในรถยนต์ ทำให้บรรยากาศภายในรถดูซึมๆเศร้าๆตามไปด้วย
หลวงตาหันไปมองหน้าคนขับรถกระบะคันทันสมัย มองเห็นแววตาและสีหน้าของเขาดูเศร้าๆและ “อิน”อยู่กับเสียงเพลงจนไม่กล้าสบตากับหลวงตาตรงๆ ดูเหมือนว่าเสียงเพลงที่ร้องโดยนักร้องหญิงที่เสียงไพเราะแบบบาดหัวใจผู้ชาย ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกอย่างลึกซึ้งกินใจเพลงนี้ จะมีแง่มุมบางอย่างเกี่ยวพันกับชีวิตของเขา
“...ฉันรักเธอ ยิ่งกว่าใครๆ เธอจะรู้หรือไม่ ว่าใจฉันมั่นเสมอ ถึงจะมีชายอื่นที่ดีกว่าเธอ ยังมั่นต่อเธอเสมอ เพราะฉันรักเธอยิ่งนัก
... ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้ แม้นว่าหัวใจสองเรารักกันยิ่งนัก เพราะเธอมีคู่อยู่แล้วเธออย่ามารัก ถ้าหากชาติหน้ามีรัก ขอเป็นคนรักคนแรกของเธอ”
เสียงเพลงจบลง แล้วเขาก็เอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียง ไม่ยอมฟังเพลงอื่นต่อ เหมือนกับว่าเขาฟังเพลงนี้เพื่อระลึกถึงใครสักคนหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่อยู่ในใจ เงียบกันไปพักใหญ่ แต่แล้วก็เหมือนเขาตัดสินใจพูดกับหลวงตาถึงความในใจบางอย่างออกมา
เขาเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด รูปหล่อ ผิวขาว ความสูง ๑๘๐ ซ.ม. แต่เนื่องจากตอนวัยเรียนหนังสือชอบคบเพื่อนฝูงและค่อนข้างเกเร เจ้าชู้ไปตามประสาคนวัยคะนอง มีคนรักที่เป็นสตรีที่เรียบร้อยและจิตใจดีมาก แต่ตนเองยังอยากสนุกต่อไปตามประสาคนยังไม่อยากคิดเรื่องการแต่งงาน ต่อมาได้ไปต่างจังหวัดแล้วพบกับสาวบ้านนอกที่ซื่อและจริงใจ เมื่อมีความสัมพันธ์กันตามประสาชายหนุ่มหญิงสาวเพราะความเจนจัดและความเจ้าชู้ของตน ก็ไม่อาจทอดทิ้งสาวบ้านนอกคนนั้นได้ จึงต้องตั้งหลักปักฐานอยู่ต่างจังหวัดและมีลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ในขณะที่สาวคนรักเธอก็ไม่ยอมแต่งงานกับใครแม้วันเวลาจะผ่านไปเกือบยี่สิบปีแล้ว
“...ความรักคือความทุกข์อย่างคำพระท่านว่าจริงๆนะครับหลวงตา?!..” เขาเอ่ยออกมาเชิงปรารภกับหลวงตา หลวงตาเอื้อมมือไปหยิบปกแผ่นซีดี อ่านดูชื่อเพลง “ที่รักเรารักกันไม่ได้” ชื่อเพลงกินใจสมกับเนื้อร้องและทำนอง
“ความรักคือสิ่งดีงาม เป็นความงดงาม แต่การพยายามครอบครองความรักคือความทุกข์ และการพยายามยึดว่าเขาจะต้องเป็นของเราคนเดียวคือความเจ็บปวดและความทรมาน.” หลวงตาเอ่ยตอบเขาพร้อมกับเหม่อหมองไปตามถนนที่ทอดยาวไปตามหุบเขา ณ เบื้องหน้า ต้นไม้ที่ยืนเด่นเป็นสง่าที่มองเห็นอยู่บนยอดเขา ช่างดูทระนงและท้าทายยิ่งนัก
ความจริงแล้วเพลงนี้หลวงตาเคยได้ฟังมาแล้วเมื่อสี่สิบปีก่อน แต่ไม่รู้จักชื่อเพลงและก็ไม่รู้สึก “อิน”อะไร มีแต่รุ่นพี่ที่พยายามจีบนักร้องที่อยู่บนเวที ซึ่งกำลังร้องเพลงนี้แล้วส่งสายตาอันหวานฉ่ำลงมาหาให้เท่านั้นที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงอันแสนหวานและซึ้งใจ
หลังจากนั้นเธอก็ก้าวลงจากเวทีมานั่งเคียงข้างรุ่นพี่ แล้วรินเบียร์เป็นฟองฟู่ส่งให้ เธอกำลังจะรินเบียร์แก้วใหม่ แต่รุ่นพี่ก็เอามือห้ามไว้พร้อมกับบอกเธอว่า “น้องชายพี่เขาเป็นคนดี ไม่กินเบียร์กินเหล้า พี่ไว้ใจเขา จึงได้ชวนมาเป็นเพื่อน ให้รินโค้กแทนนะ” รุ่นพี่ผู้เป็นชายชาติทหารเต็มตัว อธิบายให้นักร้องสาวแสนสวยให้เข้าใจเสร็จสรรพ เธอทำสีหน้างงๆอยู่แวบหนึ่ง แต่ด้วยปฏิภาณอันแววไว เธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพื่อเอาอกเอาใจแขกผู้ติดตามรุ่นพี่ที่มีใบหน้าดูไร้เดียงสาในวัยยี่สิบปี ที่กำลังมีอาการเคอะเขินจนเธออดยิ้มไม่ได้
หลวงตาได้ปล่อยจิตใจล่องลอยย้อนไปในอดีตสมัยเป็นหนุ่มน้อย ยังเป็นหนุ่มติดยศทหารใหม่ๆ ชีวิตในตอนนั้นแม้จะพยายามรักษาศีล ๕ โดยไม่ได้บอกใคร เพราะปณิธานความตั้งใจจะออกบวชในสักวันหนึ่ง บางคืนในขณะที่อ่านหนังสือของอาจารย์วศิน อินทสระ ด้วยความซาบซึ้งในธรรมะ พอตกดึกเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ก็มักได้ยินเสียงเอะอะและเสียงยานพาหนะของทหารหนุ่มโสดทั้งหลาย พาสาวๆมาค้างแรมในที่พักเป็นชีวิตปกติโดยทั่วไป
วันเวลาผ่านไป บัดนี้รุ่นพี่และเพื่อนทหารเหล่านั้น บางคนลูกก็เรียนจบมหาวิทยาลัย บางคนเลิกกับภรรยามาสามคนแล้ว ส่วนหลวงตากลายเป็นพระผู้ไม่มีสมบัติอะไร มีแต่บาตรหนึ่งใบกับสองขาที่ก้าวเดินตามรอยพระพุทธองค์
ในวันนี้เสียงเพลงที่หนุ่มน้อยผู้ไร้เดียงสาในวัยยี่สิบปีได้ฟังในบาร์เมื่อครั้งโน้น หนุ่มคนนั้นในอดีตมาได้ยินเสียงเพลงนี้ใหม่ ท่ามกลางถนนบ้านนอกที่ทอดตัวไปตามแนวหุบเขาอันยาวไกล ในสภาพที่เป็นหลวงตาผู้มีเส้นผมบนศีรษะขาวโพลน ไม่ได้หลงเหลือความเป็นคนหนุ่มอีก เป็นมนุษย์คนเดิม แต่หัวใจของหลวงตาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
เนื้อเพลงตอนต้นที่ว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้ เพราะว่าหัวใจของเธอนั้นมีเจ้าของ.” ความจริงแล้วคนเรารักกันได้เสมอ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน แต่ที่เราต้องคร่ำครวญร้องไห้ เป็นเพราะต้องการครอบครองผู้ชายคนนั้นเป็นสมบัติของเราคนเดียวต่างหาก ทำไมเราไม่มอบสิ่งดีงามออกไป ทำไมต้องเอาหัวใจและวันเวลาส่วนใหญ่ไปจมอยู่กับอดีตและเอาแต่คร่ำครวญ จงเปลี่ยนหัวใจเสียใหม่ เปลี่ยนเป็นว่า เรารักกันได้เสมอ รักโดยไม่หวังจะครอบครองสิ่งใด แล้วฟ้าที่หม่นมัวตลอดมาเป็นส่วนใหญ่ จะกลายเป็นท้องฟ้าที่สดใสในทันที
เนื้อเพลงตอนท้ายที่ว่า “..เพราะเธอมีคู่อยู่แล้วเธออย่ามารัก ถ้าหากชาติหน้ามีรัก ขอเป็นคนรักคนแรกของเธอ” หากต้องการพบชีวิตใหม่ที่สดใส การจองเวรเช่นนี้ขอให้ทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นคนแรกหรือคนสุดท้าย ก็ไม่เอาทั้งนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการอธิษฐานว่า “ในชาติหน้าขอให้อย่าได้ตกเป็นทาสของความรัก อย่าได้มีความทุกข์จากความรักเหมือนในชาตินี้ ขอให้ได้พบพระอรหันต์ แล้วได้ฟังธรรมจากท่าน แล้วขอให้ดวงจิตดวงนี้ปราศจากเวรภัย อยู่เหนือความรักความชังทั้งปวง” อธิษฐานอย่างนี้ดีกว่า ประเสริฐกว่าและสูงส่งกว่า เป็นคำอธิษฐานที่ปวงเหล่าเทพเทวาจะพากันอนุโมทนาและสรรเสริญยิ่งนัก
หากทำได้เช่นนี้ อานิสงส์จะเกิดตั้งแต่ชาตินี้ อย่างน้อยก็หมดเวรจากความระทมขมขื่นที่ที่พยายามแย่งความรักกับคนอื่นอีกต่อไป และจะไม่ต้องร้องเพลง “ที่รักเรารักกันไม่ได้”เพลงนี้ภายในสามปีอย่างแน่นอน
โลกนี้ยังมีอะไรมากมายที่รอเราอยู่ ความรักความเสน่หาไม่ใช่ความเป็นทั้งหมดของชีวิต ความรักเป็นสิ่งดีงามและเป็นความสุข แต่จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์เพราะต้องการครอบครองและยึดมั่นถือมั่นไว้เป็นสมบัติของตน
บิดามารดาผู้ให้ชีวิตและมอบความรักให้เราอย่างสูงสุด เราเองยังยึดถือเอาไว้ให้อยู่กับเราตลอดไปไม่ได้ แม้แต่ชีวิต ร่างกาย และหัวใจของตัวเรา เราเองยังไม่อาจควบคุมบังคับบัญชาหรือยึดมั่นให้เป็นดังใจแม้แต่น้อย แล้วเรายังจะเอาหัวใจไปฝากไว้กับหญิงหรือชายอื่นได้อย่างไร จงรักษาและประคองใจให้อยู่กับพระรัตนตรัย นั่นแหละคือเส้นทางที่หัวใจดวงนี้จะหมดความเศร้าหมองและแย้มบาน
“ที่รักเรารักกันไม่ได้” คำนี้ขอจงเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนหัวใจของเราอย่าให้หมกจมอยู่กับความเศร้าหมองเพียงเพราะผู้ชายหรือผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น จงรักตัวเอง ระลึกรู้ที่กาย ที่ใจของตัวเองให้มากขึ้นทุกวัน รักนกที่บินไปมาอย่างอิสระและเบิกบาน รักต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านแผ่ปกคลุมให้ร่มเงาแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งปวง
จงเปลี่ยนหัวใจดวงนี้ให้เป็นหัวใจดวงใหม่ ที่ไม่จมอยู่กับความเห็นแก่ตัวและความรักแคบๆดังแต่ก่อน จงเปิดใจมองดูผู้คนที่พากันทุกข์ร้อนที่บางบ้านไม่มีข้าวจะหุง จงส่งสายตามองลงไปใต้สะพานลอยที่พ่อแม่ลูกบางครอบครัวพากันนอนตากยุง หัวใจของเราจะกว้างขวางมากขึ้นและพลังสร้างสรรค์จะสถิตในหัวใจแทน
ความรักคือสิ่งดีงาม ดังนั้นจงรักเถิด แต่อย่ารักเพียงแค่ตัวเองหรือรักแค่ชายหนุ่มหญิงสาวที่ตนพอใจคลั่งไคล้เท่านั้น เมื่อจะรัก จงรักอย่างกว้างขวางดุจดวงตะวัน ที่มอบความรักต่อโลกใบนี้นั้นโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ
ความรักเช่นนี้ย่อมรักได้เสมอและรักได้ตลอดไป
คุรุอตีศะ
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗