ทางสายนี้ไม่มีน้ำตา
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ทางสายนี้ไม่มีน้ำตา
ธรรมดาของชีวิตคนเรานั้น ไม่มีใครมีความสุขและเบิกบานได้ตลอด แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีอุปนิสัยที่ร่าเริงหรือมีบุคลิกเข้ากับคนได้ง่ายหรือมีมนุษยสัมพันธ์ดี ก็ต้องมีวันทุกข์เศร้าหม่นหมองกันทุกคน
ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ล้วนว่ายวนอยู่ในวัฏจักรแห่งความดีใจเสียใจ สมหวังผิดหวัง อย่างนี้ด้วยกันเสมอ ไม่ยกเว้นว่าใคร
ดังนั้น เราจึงไม่ควรหมกจมอยู่แต่กับเรื่องราวของตัวเอง จนลืมไปว่า ในโลกใบนี้ เรามีเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายอุดมอยู่ทั่วทั้งโลก เราหาได้ทุกข์ตรมหรือเศร้าโศกคนเดียวไม่ แต่ละคนที่เดินผ่านหน้าเราไป ทุกดวงใจ หากเราไปถามเขาดู เขาก็แบกปัญหาที่หนักอึ้งไม่แพ้เราเช่นกัน
โดยทั่วไปเรามักเข้าใจกันว่า คนที่เป็นเด็กเรียนหรือเรียนหนังสือเก่ง จะมีความสุขกว่าเด็กที่อยู่หลังห้อง ซึ่งเอาแต่แซวครูและคอยสร้างความปั่นป่วนจนกว่าจะจบชั่วโมงเรียนไปแต่ละวัน
ความจริงแล้วเด็กที่เรียนเก่งหรือที่ตั้งใจเรียนนั้น ก็มีความทุกข์ที่ต้องมีชีวิตอยู่แต่กับกฎระเบียบและต้องแบกรับความคาดหวังจากคนอื่นอยู่ร่ำไป หากวันใดเรียนอ่อนกว่าเดิมเพียงนิดเดียว จากเกรด ๓.๘ มาเป็น ๓.๕ เพียงเท่านั้นใครๆก็พากันผิดหวังในตัวเขาแล้ว ส่วนเด็กที่อยู่หลังห้อง หากได้เกรดจาก ๑.๘ เพิ่มเป็น ๒.๑ ทั้งครูและทุกคนต่างก็พากันยินดี
เด็กเรียนบางคนส่วนใหญ่ ก็มักเข้าใจว่า เด็กที่เฮี้ยวหรือไม่ตั้งใจเรียนหนังสือนั้น เขามีความสุขกว่าตัวเอง และบางทีจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครูและคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ ดูพวกเขามีความเบิกบานสนุกสนานไม่ต้องเคร่งเครียดอะไร ส่วนตัวเรานี้ต้องก้มหน้าอยู่แต่กับหนังสือไปแต่ละวัน ไม่มีโอกาสเที่ยวเตร่สนุกสนานเหมือนคนอื่นเหล่านั้น ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นดูมีอิสระกว่าตัวเองมากนัก
ความจริงแล้วเด็กที่เฮี้ยวหรือไม่ตั้งใจเรียนนั้น เขาก็มีความทุกข์ไม่แพ้กัน เพราะต้องคอยหวาดหวั่นว่าจะตกวิชานั้นหรือเปล่า และแต่ละวันก็รู้สึกว่าอายเขาถ้ามีคนมาถามว่าได้เกรดเท่าใด และที่คอยปั่นป่วนสร้างความวุ่นวายนั้นก็ไม่ใช่อะไร แต่เกิดจากความอิจฉาพวกที่เรียนเก่งและเรียบร้อยทั้งหลายที่ดูดีมีเกียรติว่าเรา
หากเลือกได้ พวกเขาจะต้องเลือกที่จะมีสมาธิในการเรียนหรือเป็นเด็กเรียนทั้งนั้น แต่เพราะใจที่ฟุ้งซ่านและขาดสมาธิจึงไม่อยากเรียนหนังสือ หากให้ไปสร้างบ้านหรือไปซ่อมรถยนต์อาจมีความสุขกว่า แต่พ่อแม่และใครๆก็บังคับให้เขาเรียนหนังสือ เพราะอยากให้ลูกเทียมหน้าเทียมตาเขา เพราะความทุกข์บีบคั้นจิตใจ เขาเลยกลายเป็นคนเกเรและสร้างสถานการณ์ภายในห้อง เพื่อเรียกร้องความสนใจและต่อต้านในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดและไม่มีใจรัก นี้ก็คือความทุกข์ของนักปฏิวัติประจำห้องเรียน
เด็กเรียนเก่งก็มีความทุกข์ เพราะแต่ละวันจมอยู่แต่ความเคร่งเครียดกับตำรับตำรา ต้องคอยรักษาความประพฤติให้เรียบร้อยเพื่อเป็นคนมีอนาคตในภายหน้า ส่วนเด็กเกเรก็มีความทุกข์ที่ตัวเองมีปมด้อย ไม่สามารถเรียนเก่งเหมือนเขา และก็ไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร นี้คือหัวใจของนักเรียนทั้งหลายที่ถูกบีบคั้นจิตใจทั้งเด็กเรียนและเด็กเกเร
คนเรามีความทุกข์บีบคั้นจิตใจกันมาแบบนี้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนหนังสือ สังคมและการศึกษาสอนให้เราแข่งขันกัน เราจะถูกอบรมและพร่ำสอนอยู่เสมอว่า “ต้องเก่งเหนือใคร” ไม่มีครูคนไหนสอนเราว่า ทุกคนเป็นเพื่อนกัน อย่าได้แข่งขันเอาชนะกันเลยแม้แต่น้อย
คนสอบได้ที่หนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนทั้งห้อง คนได้ที่สองก็รู้สึกว่าเราเป็นรองลงไป ส่วนคนได้ลำดับสุดท้าย ก็รู้สึกว่าตัวเรานี้ช่างไร้ค่า นี้คือการถูกหล่อหลอมมาให้เราแข่งขันเพื่อเอาชนะกัน และนิสัยนี้ก็ติดตัวเรามาทั้งชายและหญิง
แม้กระทั่งมาแต่งงานกัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องคอยเอาชนะกันแม้เรื่องที่แสนจะเล็กน้อย ขนาดนั่งรถไปด้วยกัน จะแวะปั๊มเติมนำมัน ก็ยังต้องเถียงกันเพื่อเอาชนะ อย่างนี้เป็นต้น
คนดีก็มีความทุกข์ตามประสาคนดี คนไม่ดีก็มีความทุกข์ตามประสาคนไม่ดี ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ ที่เรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานี้ช่างทุกข์เหลือเกิน ก็เพราะเราไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นมีความทุกข์ยิ่งกว่าเราอยู่อีกมากมาย หากเราได้ล่วงรู้ความทุกข์ในใจของเขา เราอาจตกใจว่า ความทุกข์ของเรานั้นช่างนิดเดียว
โดยทั่วไป เมื่ออายุเข้าสู่วัย ๓๕ ปี ชีวิตของหลายคนจะเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เด็กที่เคยเกเรในห้องเรียนจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของชีวิต และเริ่มประจักษ์แก่ตนเองโดยไม่ต้องมีใครสอนว่า ชีวิตยังมีอะไรมากมายที่เราคิดไม่ถึง เขาจะเริ่มกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ส่วนคนที่เป็นเด็กเรียน ชีวิตที่เคยเอาแต่คร่ำเคร่งกับตำราและประคองตนเป็นคนเรียบร้อยมาตลอด จะเริ่มเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเรื่องของชีวิตไม่ได้เป็นอย่างในห้องเรียนหรือในหนังสือ เรื่องของชีวิตไม่มีใครจะสอนใครได้แบบการเรียนในโรงเรียน เขาจะเริ่มแสวงหาความอิสรเสรีและความจริงของชีวิตนอกตำราเรียนมากขึ้น จากที่เคยมีบุคลิกที่เคร่งเครียด จะกลายเป็นคนรักอิสระและเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา จนคนรอบข้างอาจตกใจและหวาดหวั่นว่า เหตุใดนิสัยของเขาจึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
นี้คือเรื่องราวของชีวิตของมนุษย์ทุกคน คนดีจึงทุกข์ไปตามลักษณะของคนดี คนไม่ดีก็ทุกข์ไปตามลักษณะของคนไม่ดี สรุปก็คือว่า เราทุกคนล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวฉันทุกข์อยู่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้ บทสวดทำวัตรเช้าตอนหนึ่ง จึงมีว่า “ทุกฺโขติณฺณา เราเป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ทุกฺขปเรตา เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว อปฺเปวนามิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถาติ ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ ดังนี้”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จอุบัติมาเพื่อตรัสรู้ธรรม เพื่อเป็นที่พึ่งของชาวโลก ไม่ว่าภพภูมิใด ทั้งมนุษย์ เทวดา ตลอดทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงเป็นที่พึ่งทั้งหญิงชาย ทั้งคนดีและคนเลว
พระองค์ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นที่พึ่งให้แก่เฉพาะคนดีเท่านั้น แต่ทรงมีน้ำพระทัยเสมอกันทั้งต่อคนดีหรือคนชั่วในอันจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ ความคับแค้นใจของพวกเขา เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงได้รับการขนานนามว่าทรงเป็น “พระบรมครูของโลก” และทรงเป็น “พระศาสดาเอกของโลก” ตลอดกาล และบุคคลที่จะมีคุณสมบัติที่สูงส่งถึงขั้นนี้ได้ ก็ต้องสร้างพระบารมีมานานถึง ๔ อสงไขย แสนกัป
พระองค์ตรัสว่า เส้นทางสู่ความดับทุกข์ ทางสายนี้มีเพียงสายเดียว ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกแล้ว ทั้งน้ำตาของตนดีหรือน้ำตาของคนชั่ว เป็นเส้นทางที่พระองค์ผู้ประเสริฐได้ทรงประทานไว้ให้พวกเราแล้วนับตั้งแต่ทรงตรัสรู้เป็นต้นมา ทางสายที่ว่านี้ก็คือ “สติปัฏฐาน หรือการเจริญสติสมาธิภาวนา” ซึ่งเป็นทางสายเอกเพียงสายเดียว ที่จะซับน้ำตาของมวลมนุษย์ทั้งหลาย
อย่าให้ใจของเราสาละวนอยู่กับอดีตอยู่เลย เราจะเคยทำดีหรือทำไม่ดีมาอย่างไร สิ่งต่างๆและวันเวลาก็ผ่านไปแล้ว จงตั้งต้นก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งชีวิตใหม่ ด้วยการมีสติอยู่กับกายและใจขณะนี้
อย่ามัวเพ้อฝันหรือพะวงต่ออนาคต จนลืมความเป็นจริงในขณะนี้ว่าเรากำลังทำอะไร หมั่นระลึกรู้ที่กายนี้ ใจนี้อยู่เสมอทั้งกลางวันกลางคืน นั่นแหละคือการได้เดินอยู่บนทางสายเอกแล้ว
ทางสายอื่นไม่มีความปลอดภัยต่อหัวใจของเราหรอก อำนาจวาสนา ความเป็นใหญ่ ความร่ำรวยตลอดทั้งความเป็นคนดี เป็นคนมีเกียติให้ผู้คนยกย่อง ล้วนต้องตกอยู่ในโลกธรรม มีการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีนินทา มีความเสียใจได้เสมอ
เส้นทางสายนั้น ผุ้ที่เดินยังต้องพบกับความโศก ความพิรี้พิไร ความร่ำไรรำพัน ความคับแค้นใจได้ทุกเวลา และไม่มีใครรู้ว่า จุดหมายปลายทางสายนั้นจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
แต่เส้นทางสาย “การเจริญสติสมาธิภาวนา”นี้ คือเส้นทางสายเดียวที่บุคคลใดเมื่อเดินไปแล้ว ย่อมไปสู่จดหมายปลายทาง คือความปราศจากความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ และไม่มีน้ำตาอีกแล้ว
คุรุอตีศะ
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖