รักษาคุ้มครองใจตนเอง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
รักษาคุ้มครองใจตนเอง
สิ่งสำคัญของมนุษย์คือศิลปะในการรักษาคุ้มครองใจของตนเอง เพราะใจเป็นหัวหน้า ใจประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อใจไม่ดี จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็ออกมาไม่ดี หากใจดีแล้ว จะพูดจะทำสิ่งใดก็ย่อมดีไปหมดโดยอัตโนมัติดังนั้น การรู้จักรักษาคุ้มครองใจของตนเองให้ปกติ ให้แจ่มใส ไม่ให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น
แต่คนเราทุกวันนี้มักทำในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน เรามักจะเลือกสิ่งอื่นมากกว่า ไม่ว่าจะทุกข์ยากสักเพียงใด ขอเพียงให้สิ่งที่ต้องการนั้นสำเร็จดังใจเป็นพอ หรือได้ทำอะไรตามความอยาก ความพอใจก็พอแล้ว ส่วนหัวใจของตัวเองจะเศร้าหมองขุ่นมัวหรือเคร่งเครียดเพียงใด เรากลับคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเป็นเรื่องธรรมดา พูดง่ายๆก็คือคนส่วนใหญ่มองเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องอื่นสำคัญกว่า หากหิวขึ้นมาก็ค่อยวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อ พออิ่มท้องก็สนใจสิ่งอื่นต่อไป หากหิวขึ้นมาก็มองหาฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารจานด่วนที่เป็นที่ชอบใจของตน ผู้คนมักเห็นธรรมะเป็นแบบนี้
เราคิดว่าธรรมะคืออาหารจานด่วนเท่านั้น น้อยคนนักจะคิดว่า ธรรมะคือชีวิตของเรา ธรรมะคือสิ่งที่เราต้องศึกษาและปฏิบัติไปจนชั่วชีวิต แม้แต่พระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์ท่านยังพอใจที่จะศึกษาธรรมะและฟังธรรม ยิ่งเป็นพระอริยบุคคลยิ่งไม่มีวันเบื่อหน่ายต่อการศึกษาธรรม เพราะในโลกมนุษย์นี้ ไม่มีสิ่งใดจะอ่านและฟังแล้วนำมาซึ่งความแช่มชื่นหัวใจและทำใจให้เบิกบานเท่ากับธรรมะย่อมไม่มีเลย
เพราะเรามีความประมาทในธรรมะนี้เอง ศรัทธาของเราส่วนใหญ่จึงคลอนแคลนและสับสนต่อสิ่งต่างๆ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับผู้คนหรือศาสนา เราจึงขาดสติปัญญาในการจะนำมาวิเคราะห์มาพิจารณาและถึงทางตัน
เพราะเรารู้จักแต่จะควักเงินในกระเป๋าแล้ววิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อในยามหิว เมื่อเกิดไฟดับ ร้านอาหารปิด เราก็จับเจ่าถึงทางตัน เอาแต่อึดอัดและคร่ำครวญบ่นเพ้อโทษว่าไฟทำไมถึงดับ อาจโกรธแค้นไปถึงการไฟฟ้าโน่นเลยก็ได้ แต่หากเรารู้จักหุงข้าว รู้จักทำกับข้าวที่บ้านของเรา แม้อาจทำอะไรไม่เป็น อย่างน้อยทอดไข่เป็น เพียงเท่านั้นเราก็อยู่ได้แล้ว
ผู้คนในปัจจุบันก็เช่นกัน มักปฏิบัติตนเช่นนั้นกับธรรมะของพระพุทธเจ้า คือไปฝากท้องไว้กับอาหารจานด่วน แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการหุงข้าวและทำกับข้าว เมื่อเกิดความคับขันและจำเป็นขึ้นมาจึงต้องพบกับความยุ่งยากและตีบตัน
การรู้จักหุงข้าวและทำกับข้าวก็คือ เราต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร พระธรรมของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้นั้นคืออย่างไร ไม่ใช่รู้จักแต่อาหารจานด่วนในร้านสะดวกซื้อที่มียี่ห้อ คือ บุคคลที่มีชื่อเสียงพูดอะไรนิดหน่อยพอให้สบายใจเท่านั้นก็พอใจแล้ว หากเรามัวแต่ภูมิใจและหลงใหลอาหารจานด่วนที่มียี่ห้อ วันหนึ่งหากบริษัทเจ๊งหรือไฟดับซื้อของไม่ได้ อาหารที่จะใส่ท้องมื้อนี้เราจะหาได้ที่ไหน ดังนั้น เราต้องศึกษาธรรมะแบบคนที่เรียนรู้ในการหุงข้าวทำกับข้าวเป็น เราจึงจะมีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการดำเนินชีวิต และมีสติปัญญาในการคุ้มครองจิตใจตัวเองให้มีกำลังใจและมีความสุขได้ตลอด
ผู้ที่ทำกับข้าวเป็นหุงข้าวเป็นนั้น จะไม่ตื่นเต้น ไม่ทึ่งต่ออาหารจานด่วนทั้งหลาย เพราะอย่างไรเสียก็สู้อาหารที่ทำเองไม่ได้ ทั้งสดและใหม่และทำด้วยใจ ที่สำคัญจะไม่มีวันต้องพบกับความเสียขวัญหรือตกใจ หากพบว่าวันใดไฟฟ้าร้านสะดวกซื้อดับหรือปิดกิจการ ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้อง จะไม่มีความหวั่นไหวใดๆในศาสนาก็เช่นนั้น
พระในภายนอกหรือจะสู้พระในภายในคือใจที่สงบและมีสติมั่นคงได้ พระในภายนอกหรือพระสงฆ์นั้น มีทั้งพระอริยสงฆ์และพระสมมุติสงฆ์ เราไม่อาจทราบได้ว่า ท่านใดเป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงธรรมอันแท้จริง หรือเป็นเพียงสมมุติสงฆ์คือบุคคลที่สมมุติว่าเป็นพระเท่านั้น ยังไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือเพียงแต่สมมุติไว้ก่อนเท่านั้น
สมมุติสงฆ์นี้เราจะเอาแน่เอานอนหรือคาดหวังอะไรกับท่านไม่ได้ เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “สมมุติ” คือยังไม่เป็นของจริง ต่อไปหากสมมุติสงฆ์เหล่านั้นศึกษาจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง พร้อมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ท่านจึงจะกลายเป็นพระอริยสงฆ์ เป็นสาวกที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป สงฆ์เช่นนี้คือพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป และสงฆ์เช่นนี้แหละจึงจะเป็น อาหุเนยฺโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ปาหุเนยฺโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน (เป็นผู้ที่ทำบุญกับท่านแล้วอุทิศให้ผู้ตายแล้วย่อมถึงผู้ตายแน่นอน) อญฺชลีกรณีโย เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี (ยกมือไหว้) อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ที่ไม่มีเนื้อนาบุญที่ไหนในโลกจะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าในระดับพระโสดาบันบุคคลนั้นอาจเป็นฆราวาสก็ได้ แต่ท่านก็กราบไหว้พระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนหรือสมมุติสงฆ์ในฐานะที่ท่านเหล่านั้นครองผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์ ท่านไม่ได้กราบลูกชาวบ้านแต่อย่างใด ส่วนลูกชาวบ้านเหล่านั้นจะสำคัญตนว่าพวกเขาพากันกราบท่านก็เป็นเรื่องของท่าน ด้วยเหตุนี้คนโบราณที่ท่านมีความเข้าใจลึกซึ้งในศาสนา ท่านจึงมักสอนลูกหลานให้ “กราบผ้าเหลือง” คือธงชัยของพระอรหันต์ แม้พระรูปนั้นจะมีอาจาระดีชั่วอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องรับผิดชอบลูกศิษย์ของตนเองในฐานะที่ตนส่งเสริมหรือยอมให้บวชเข้ามาในศาสนา หากเราแยกแยะและเข้าใจได้เช่นนี้ เราจะมีความมั่นคงต่อสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตลอดไป
เราจงพากันรักษาใจของเราให้ดี เรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ นั้นเป็นของสูงส่ง ส่วนเรื่องข่าวคราวต่างๆที่ทำให้ใจของเราเศร้าหมองนั้น ไม่ใช่เรื่องของพระอริยสงฆ์ แต่เป็นเรื่องของปุถุชนที่มักจะพากันพูด พากันคิด พากัน ว่ายวนอยู่แต่ในเรื่องของกิเลส ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง มีแต่ทำให้ใจของเราเศร้าหมองขุ่นมัว เมื่อใดที่ใจของเราขุ่นมัว จงรู้ว่าขณะนั้นเราห่างไกลพระพุทธองค์ ห่างไกลจากปวงเหล่าของอริยสงฆ์ไปแล้ว เราจงเลิกสนใจอาหารจานด่วนและเลิกติดของมียี่ห้อ แต่มาหัดวิธีซาวข้าวและการใส่น้ำลงในหม้อข้าว ว่าต้องใส่น้ำลงไปเท่าไหร่ข้าวจึงจะไม่แฉะไม่ไหม้จะดีกว่า เพราะนั่นคือความจริง และจะเป็นการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแท้จริง อย่ามัวแต่ฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อ แต่จงรู้จักหุงข้าวให้เป็น
ตระหนักรู้ใจของเราในขณะนี้ ตระหนักรู้ลมหายใจของเราขณะนี้ ตระหนักรู้ร่างกายของเราขณะนี้ พร้อมมีใจผ่อนคลาย ตื่นรู้ ยิ้มน้อยๆในดวงใจ เมื่อใดใจดวงนี้สัมผัสรู้ต่อสิ่งต่างๆด้วยใจที่ผ่อนคลายและแผ่วเบา ไม่สำคัญมั่นหมายต่อสิ่งใด ให้ใจดวงนี้ไร้การขัดแย้งต่อสรรพสิ่ง ให้ใจดวงนี้ไร้การปฏิเสธต่อสิ่งใด รู้ ตื่น และเบิกบาน เมื่อนั้นใจของเราย่อมอยู่ใกล้ต่อองค์พุทธะและมีที่พึ่งแล้ว ใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระธรรม และชีวิตของเราขณะนี้ย่อมอยู่ท่ามกลางปวงเหล่าอริยสงฆ์ตลอดเวลา แล้วอุปสรรคปัญหาหรือความทุกข์ยากใดจะมาอยู่เหนือหัวใจเช่นนี้ได้
คุรุอตีศะ
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖