รักษาคุ้มครองใจตนเอง

รักษาคุ้มครองใจตนเอง


                สิ่งสำคัญของมนุษย์คือศิลปะในการรักษาคุ้มครองใจของตนเอง  เพราะใจเป็นหัวหน้า  ใจประเสริฐที่สุด  ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ  เมื่อใจไม่ดี จะพูดสิ่งใด  จะทำสิ่งใด ก็ออกมาไม่ดี  หากใจดีแล้ว จะพูดจะทำสิ่งใดก็ย่อมดีไปหมดโดยอัตโนมัติดังนั้น  การรู้จักรักษาคุ้มครองใจของตนเองให้ปกติ ให้แจ่มใส ไม่ให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น


                แต่คนเราทุกวันนี้มักทำในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน  เรามักจะเลือกสิ่งอื่นมากกว่า ไม่ว่าจะทุกข์ยากสักเพียงใด  ขอเพียงให้สิ่งที่ต้องการนั้นสำเร็จดังใจเป็นพอ  หรือได้ทำอะไรตามความอยาก ความพอใจก็พอแล้ว  ส่วนหัวใจของตัวเองจะเศร้าหมองขุ่นมัวหรือเคร่งเครียดเพียงใด  เรากลับคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเป็นเรื่องธรรมดา  พูดง่ายๆก็คือคนส่วนใหญ่มองเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องเล็กน้อย  เรื่องอื่นสำคัญกว่า  หากหิวขึ้นมาก็ค่อยวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อ  พออิ่มท้องก็สนใจสิ่งอื่นต่อไป  หากหิวขึ้นมาก็มองหาฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารจานด่วนที่เป็นที่ชอบใจของตน  ผู้คนมักเห็นธรรมะเป็นแบบนี้


                เราคิดว่าธรรมะคืออาหารจานด่วนเท่านั้น  น้อยคนนักจะคิดว่า ธรรมะคือชีวิตของเรา  ธรรมะคือสิ่งที่เราต้องศึกษาและปฏิบัติไปจนชั่วชีวิต  แม้แต่พระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์ท่านยังพอใจที่จะศึกษาธรรมะและฟังธรรม  ยิ่งเป็นพระอริยบุคคลยิ่งไม่มีวันเบื่อหน่ายต่อการศึกษาธรรม เพราะในโลกมนุษย์นี้  ไม่มีสิ่งใดจะอ่านและฟังแล้วนำมาซึ่งความแช่มชื่นหัวใจและทำใจให้เบิกบานเท่ากับธรรมะย่อมไม่มีเลย


                เพราะเรามีความประมาทในธรรมะนี้เอง  ศรัทธาของเราส่วนใหญ่จึงคลอนแคลนและสับสนต่อสิ่งต่างๆ  เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับผู้คนหรือศาสนา  เราจึงขาดสติปัญญาในการจะนำมาวิเคราะห์มาพิจารณาและถึงทางตัน


                เพราะเรารู้จักแต่จะควักเงินในกระเป๋าแล้ววิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อในยามหิว  เมื่อเกิดไฟดับ ร้านอาหารปิด เราก็จับเจ่าถึงทางตัน  เอาแต่อึดอัดและคร่ำครวญบ่นเพ้อโทษว่าไฟทำไมถึงดับ  อาจโกรธแค้นไปถึงการไฟฟ้าโน่นเลยก็ได้  แต่หากเรารู้จักหุงข้าว รู้จักทำกับข้าวที่บ้านของเรา  แม้อาจทำอะไรไม่เป็น  อย่างน้อยทอดไข่เป็น เพียงเท่านั้นเราก็อยู่ได้แล้ว


                ผู้คนในปัจจุบันก็เช่นกัน  มักปฏิบัติตนเช่นนั้นกับธรรมะของพระพุทธเจ้า  คือไปฝากท้องไว้กับอาหารจานด่วน  แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการหุงข้าวและทำกับข้าว  เมื่อเกิดความคับขันและจำเป็นขึ้นมาจึงต้องพบกับความยุ่งยากและตีบตัน


                การรู้จักหุงข้าวและทำกับข้าวก็คือ เราต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร  พระธรรมของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้นั้นคืออย่างไร  ไม่ใช่รู้จักแต่อาหารจานด่วนในร้านสะดวกซื้อที่มียี่ห้อ  คือ บุคคลที่มีชื่อเสียงพูดอะไรนิดหน่อยพอให้สบายใจเท่านั้นก็พอใจแล้ว  หากเรามัวแต่ภูมิใจและหลงใหลอาหารจานด่วนที่มียี่ห้อ  วันหนึ่งหากบริษัทเจ๊งหรือไฟดับซื้อของไม่ได้ อาหารที่จะใส่ท้องมื้อนี้เราจะหาได้ที่ไหน  ดังนั้น เราต้องศึกษาธรรมะแบบคนที่เรียนรู้ในการหุงข้าวทำกับข้าวเป็น  เราจึงจะมีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการดำเนินชีวิต และมีสติปัญญาในการคุ้มครองจิตใจตัวเองให้มีกำลังใจและมีความสุขได้ตลอด


                ผู้ที่ทำกับข้าวเป็นหุงข้าวเป็นนั้น  จะไม่ตื่นเต้น ไม่ทึ่งต่ออาหารจานด่วนทั้งหลาย  เพราะอย่างไรเสียก็สู้อาหารที่ทำเองไม่ได้  ทั้งสดและใหม่และทำด้วยใจ  ที่สำคัญจะไม่มีวันต้องพบกับความเสียขวัญหรือตกใจ  หากพบว่าวันใดไฟฟ้าร้านสะดวกซื้อดับหรือปิดกิจการ  ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้อง  จะไม่มีความหวั่นไหวใดๆในศาสนาก็เช่นนั้น


                พระในภายนอกหรือจะสู้พระในภายในคือใจที่สงบและมีสติมั่นคงได้  พระในภายนอกหรือพระสงฆ์นั้น มีทั้งพระอริยสงฆ์และพระสมมุติสงฆ์  เราไม่อาจทราบได้ว่า ท่านใดเป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงธรรมอันแท้จริง หรือเป็นเพียงสมมุติสงฆ์คือบุคคลที่สมมุติว่าเป็นพระเท่านั้น ยังไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  คือเพียงแต่สมมุติไว้ก่อนเท่านั้น


                สมมุติสงฆ์นี้เราจะเอาแน่เอานอนหรือคาดหวังอะไรกับท่านไม่ได้  เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “สมมุติ” คือยังไม่เป็นของจริง  ต่อไปหากสมมุติสงฆ์เหล่านั้นศึกษาจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง พร้อมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ท่านจึงจะกลายเป็นพระอริยสงฆ์ เป็นสาวกที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป  สงฆ์เช่นนี้คือพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป  และสงฆ์เช่นนี้แหละจึงจะเป็น อาหุเนยฺโย  เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ปาหุเนยฺโย  เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ  ทกฺขิเณยฺโย  เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน (เป็นผู้ที่ทำบุญกับท่านแล้วอุทิศให้ผู้ตายแล้วย่อมถึงผู้ตายแน่นอน) อญฺชลีกรณีโย  เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี (ยกมือไหว้) อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส  เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ที่ไม่มีเนื้อนาบุญที่ไหนในโลกจะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว


                สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าในระดับพระโสดาบันบุคคลนั้นอาจเป็นฆราวาสก็ได้  แต่ท่านก็กราบไหว้พระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนหรือสมมุติสงฆ์ในฐานะที่ท่านเหล่านั้นครองผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์ ท่านไม่ได้กราบลูกชาวบ้านแต่อย่างใด ส่วนลูกชาวบ้านเหล่านั้นจะสำคัญตนว่าพวกเขาพากันกราบท่านก็เป็นเรื่องของท่าน ด้วยเหตุนี้คนโบราณที่ท่านมีความเข้าใจลึกซึ้งในศาสนา ท่านจึงมักสอนลูกหลานให้ “กราบผ้าเหลือง” คือธงชัยของพระอรหันต์ แม้พระรูปนั้นจะมีอาจาระดีชั่วอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องรับผิดชอบลูกศิษย์ของตนเองในฐานะที่ตนส่งเสริมหรือยอมให้บวชเข้ามาในศาสนา   หากเราแยกแยะและเข้าใจได้เช่นนี้  เราจะมีความมั่นคงต่อสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตลอดไป


                เราจงพากันรักษาใจของเราให้ดี  เรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ นั้นเป็นของสูงส่ง ส่วนเรื่องข่าวคราวต่างๆที่ทำให้ใจของเราเศร้าหมองนั้น ไม่ใช่เรื่องของพระอริยสงฆ์ แต่เป็นเรื่องของปุถุชนที่มักจะพากันพูด พากันคิด พากัน ว่ายวนอยู่แต่ในเรื่องของกิเลส  ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง มีแต่ทำให้ใจของเราเศร้าหมองขุ่นมัว  เมื่อใดที่ใจของเราขุ่นมัว จงรู้ว่าขณะนั้นเราห่างไกลพระพุทธองค์ ห่างไกลจากปวงเหล่าของอริยสงฆ์ไปแล้ว  เราจงเลิกสนใจอาหารจานด่วนและเลิกติดของมียี่ห้อ  แต่มาหัดวิธีซาวข้าวและการใส่น้ำลงในหม้อข้าว ว่าต้องใส่น้ำลงไปเท่าไหร่ข้าวจึงจะไม่แฉะไม่ไหม้จะดีกว่า  เพราะนั่นคือความจริง  และจะเป็นการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแท้จริง  อย่ามัวแต่ฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อ แต่จงรู้จักหุงข้าวให้เป็น


                ตระหนักรู้ใจของเราในขณะนี้  ตระหนักรู้ลมหายใจของเราขณะนี้  ตระหนักรู้ร่างกายของเราขณะนี้  พร้อมมีใจผ่อนคลาย  ตื่นรู้  ยิ้มน้อยๆในดวงใจ  เมื่อใดใจดวงนี้สัมผัสรู้ต่อสิ่งต่างๆด้วยใจที่ผ่อนคลายและแผ่วเบา  ไม่สำคัญมั่นหมายต่อสิ่งใด ให้ใจดวงนี้ไร้การขัดแย้งต่อสรรพสิ่ง  ให้ใจดวงนี้ไร้การปฏิเสธต่อสิ่งใด  รู้ ตื่น และเบิกบาน  เมื่อนั้นใจของเราย่อมอยู่ใกล้ต่อองค์พุทธะและมีที่พึ่งแล้ว  ใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระธรรม  และชีวิตของเราขณะนี้ย่อมอยู่ท่ามกลางปวงเหล่าอริยสงฆ์ตลอดเวลา  แล้วอุปสรรคปัญหาหรือความทุกข์ยากใดจะมาอยู่เหนือหัวใจเช่นนี้ได้


คุรุอตีศะ

๑๐  กรกฎาคม  ๒๕๕๖