จิตที่พบความอิสระ

 จิตที่พบความอิสระ

 

พระอริยเจ้าท่านพร่ำสอนคอยให้สติตักเตือนเราทั้งหลายว่าการเป็นคนดีมีศีลธรรม ตั้งใจทำมาหากิน ไม่เบียดเบียนใครเพียงแค่นั้นยังไม่เพียงพอ 

 

ก็เพราะว่าคนดีในสังคมของโลกปุถุชนนั้น ล้วนเป็นที่ยอมรับหรือได้ชื่อว่าเป็นคนดีจากการเก็บกดอารมณ์ เกิดจากการสะกดกลั้นกิเลส ยังไม่เป็นอริยมรรค

 

เป็นสุภาพบุรุษ ก็เพราะบังคับกดข่มอารมณ์ตัวเอง

 

เป็นกุลสตรี ก็เพราะต้องคอยควบคุม สะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้

 

หากยังคงรักษาความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นกุลสตรีเพียงแค่นั้น ไม่เจริญสติ ไม่ภาวนาจนรู้ใจตัวเอง

 

วันหนึ่งร่างกายจิตใจอ่อนแอลง เราจะควบคุมอะไรไม่ได้ จะกลายเป็นคนเสียคน บางคนจะกลายเป็นคนละคนไปเลย

 

ในขณะที่คนที่เขาทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเรา อยากทำอะไรเขาก็ทำ กลับลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมอย่างสบาย เราก็จะยิ่งช้ำใจ

 

ดังนั้น เมื่อเราได้ใช้ชีวิตในกรอบของศีลธรรม ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราต้องพัฒนาจิตใจตัวเองสู่ความเป็นอริยะ

 

มิฉะนั้น เราอาจกลายเป็นคนเสียคนในยามอายุมากขึ้นหรือเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป     

 

เพราะมีความเก็บกด ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกทรยศ ถูกหักหลัง ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือได้รับแต่ความอยุติธรรม 

 

การปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้วก็คือการรีบยกตัวเองออกจากคนดีแบบปุถุชน ขึ้นไปสู่ความเป็นอริยบุคคลก่อนที่อะไรจะสายเกินไป

 

คำว่า "สายเกินไป" ก็คือจากที่เราเคยได้ชื่อว่าเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ เป็นกุลสตรีที่เราภาคภูมิใจมาตลอด เมื่อเราพลาดพลั้งขึ้นมา ทุกคนจะรุมด่ารุมว่าเราเป็นคนไม่ดี (เพราะทุกคนจะอิจฉาริษยารอจ้องจะเห็นความพลาดพลั้งของเราอยู่ตลอดเวลา)

 

ธรรมดาใจของปุถุชนนั้นไม่อยากให้ใครดีกว่าตน ยิ่งวันใดบุคคลนั้นกลายเป็นคนชั่วคนเลว จะพากันสะใจ สบายใจ

 

ดังนั้น พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ท่านจึงพร่ำเตือนสติแก่ผู้ที่รักษาตนไว้ดีมาตลอดว่าไม่ให้ประมาท

 

ให้รีบบำเพ็ญทาน ให้หาโอกาสบำเพ็ญศีล หมั่นรักษาจิตเจริญภาวนา

 

เพราะว่าเมื่อใดดวงจิตก้าวสู่ภูมิอริยะ เราจะไม่ต้องแบกภาระทางจิตใจกับปุถุชนอีก

 

ไม่วิตกทุกข์ร้อนกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของใคร ไม่สนใจว่าจะเป็นที่ยอมรับของใคร 

 

ใครจะว่าเราดีก็ได้ ใครจะว่าเราชั่วก็ได้อีก แต่ใจภายในยังเข้าใจและมีความสุขกับการมีสติ คิดเกื้อกูลช่วยเหลือไปในแต่ละวัน

 

อย่างนี้ต่างหากเราจึงจะรอดปลอดภัย 

 

การเป็นอริยะนั้นเหนือไปกว่าการเป็นคนดี เหนือขึ้นไปกว่าการเป็นสุภาพบุรุษสุภาพสตรี

 

จิตแบบนี้เท่านั้นจึงจะพบความเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง 

 

ไม่ต้องคอยควบคุม กดข่ม สะกดกลั้น หรือบังคับให้ตนเองเป็นคนดีเพื่อให้ใครยอมรับหรือเอาใจสังคมอีก

 

สภาวะจิตเช่นนี้แหละที่ท่านเรียกว่า"พุทธภาวะ" คือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

 

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ก็คือพระธรรมอันประเสริฐนี้

 

คุรุอตีศะ

๒๕ มีนาคม ๒๕๖๘