ทัศนะต่อกรณีหลวงปู่เณรคำ

ทัศนะต่อกรณีหลวงปู่เณรคำ


            มีข่าวคราวเรื่องหลวงปู่เณรคำติดต่อกันหลายวันแล้ว  และดูเหมือนว่าการนำเสนอข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์จะสนุกกันยกใหญ่ เมื่อมีเรื่องราวที่กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาและและความเลื่อมใสศรัทธาของมหาชนถึงเพียงนี้  หากเว็บไซต์เกพลิตาทำเป็นนั่งหลับตาปล่อยวางทำตัวเป็นผู้ดี กลัวจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวโดยไม่ทำอะไร ก็ไม่ทราบจะพากันตั้งเว็บไซต์มาทำไมเหมือนกัน  ในฐานะที่ไม่ค่อยจะได้รับการยกย่องว่าพระเป็นพระปฏิบัติดีสักเท่าไหร่ เพราะมักชอบทำอะไรขัดใจคน  ก็อยากทำอะไรเพื่อพระผู้ปฏิบัติดีที่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของมหาชนตามกำลังสติปัญญาที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย


               ใครที่ได้ทราบข่าวในเรื่องนี้  แม้กระแสข่าวจะชี้นำไปในทางใด จงตั้งสติไว้อย่าเพิ่งไปกล่าวร้ายต่อท่านตามกระแสข่าว  นั่นคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด  อย่าลืมว่าพระที่ท่านออกบวชตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยจิตตรงต่อพระนิพพาน มุ่งสู่ความหลุดพ้น มิใช่บวชเพื่อแสวงหาอนาคตหรือเพื่อความก้าวหน้านั้น ในประเทศไทยนี้จะมีสักกี่องค์  จิตของเด็กในวัยนั้นซึ่งร้อยทั้งร้อยกำลังใฝ่ฝันต่อเพศตรงกันข้ามและอยากมีอนาคต  แต่เด็กชายวิรพลกลับยินดีในการออกบวช นั่นแหละคือบารมีที่สร้างมาหลายชาติที่ดวงจิตมุ่งสู่ความหลุดพ้น   หลวงปู่ในอดีตที่มีลูกศิษย์หลายร้อยที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์แล้วมาเกิดใหม่ จะให้มีความยินดีและความพอใจแบบพวกเราทั้งหลายนั้นเป็นไปไม่ได้แน่  นี้คือชีวิตของผู้มีบุญบารมีที่เกิดมาค้ำชูพระศาสนา


               พระที่ไม่มีความรู้ทางโลกหรือเปรียญธรรมแต่อย่างใด  ไม่มีใครกล้ารับรองด้วยซ้ำว่าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น เพราะกลัวจะกระทบกระเทือนหมู่คณะมิให้มีสิ่งใดมาแผ้วพาน  แต่ก้าวขึ้นมาเป็นพระผู้มีบารมีที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ  มิใช่พระทั่วไปทั้งหลายจะมีวาสนาทำได้  นี้คือสิ่งที่ใครๆไม่อาจมองข้าม


               เรื่องพระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ย่อมต้องมีมารผจญเป็นธรรมดา  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ต้องระมัดระวังอย่าให้มีสิ่งใดมากดดันจนเสียใจภายหลังได้  เรื่องการกล่าวหากันในทางเสียหาย  ใครจะพูดออกมาก็พูดได้  เพราะเป็นการพูดให้ร้ายผู้อื่นมิใช่ตัวเอง  แต่วันใดตัวเองหรือครอบครัวถูกหาเรื่องถูกกล่าวร้ายในทางเสียหายบ้าง แล้วจะรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องเลวร้ายนัก  เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกย่อมปรารถนาเห็นความวิบัติของคนอื่น  แต่ให้มีแต่ตนเท่านั้นสุขสบาย  ภัยพิบัติและเคราะห์กรรมทั้งหลายจึงเริ่มคืบคลานมาสู่มวลมนุษยชาติ


              คนส่วนใหญ่ยังแยกไม่ออกว่า พระปฏิบัติกรรมฐาน กับพระที่ทำหน้าที่เผยแผ่นั้นท่านทำหน้าที่คนละอย่างกัน  เวลามีเรื่องราวของพระที่ทำหน้าที่เผยแผ่ บางคนก็ไปหาถามพระกัมมัฏฐานว่าท่านองค์นั้นปฏิบัติถูกต้องหรือไม่  พระกัมมัฏฐานท่านก็ต้องตอบว่าไม่ถูกต้อง เพราะชีวิตประจำวันของท่านคือการบิณฑบาต กวาดวัด และเจริญสติอยู่ในที่วิเวก  ต้องดำรงความเคร่งครัดเหมือนนักเรียนนายร้อยที่รอวันประดับดาวและรับพระราชทานกระบี่  แต่พระผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ก็เปรียบเหมือนผู้กอง ผู้พันออกรบ  จะไปเอาชีวิตแบบพระกัมมัฏฐานมาเป็นบรรทัดฐานย่อมไม่ได้  เพราะคนละฐานะคนละหน้าที่กัน


            การออกรบก็ต้องมีอาวุธ มีปืน มีรถถัง มีปืนใหญ่ จะไปทำตัวเป็นนักเรียนนายร้อยห้อยกระบี่สั้น ซ้ายหันขวาหันอยู่แค่นั้นย่อมไม่ได้  สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ยานพาหนะที่ดีที่สุดก็คือเกวียนและรถไฟ การเดินทางของคนทั่วไปก็คือเดิน


            แต่สมัยของพวกเรานี้  คนส่วนใหญ่นั่งรถกระบะนั่งรถเก๋งกันหมดแล้ว  หากใครปั่นจักรยานหรือขี่มอเตอร์ไซค์ กลับจะถูกสุนัขข้างทางไล่กัดเอาซ้ำเติมความลำเค็ญ  ดังนั้น ถ้าพระท่านจะนั่งรถเบนซ์หรือรถโรลส์รอยที่ญาติโยมจัดถวายก็ไม่เห็นแปลกอะไร  พระรูปใดยังไม่มีวาสนาบารมีเหมือนผู้เขียนนี้ ก็นั่งรถไฟ รถตู้ รถโดยสาร ก็เป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งนั่งรถซาเล้ง หรือรถบรรทุกถ่านของชาวบ้านก็เคยนั่งด้วยความเบิกบานใจมาแล้ว  ดังนั้น ยานพาหนะในการเดินทางก็ต้องเป็นไปตามยุคตามสมัย  หากจะบังคับให้พระทำตัวเคร่งครัดไปทุกอย่างตามมาตรฐานแบบสมัยหลวงปู่มั่น  ก็สมควรที่จะต้องมาตกลงกันให้ญาติโยมทั้งหลายเวลาจะไปสำนักงานหรือไปบริษัท ก็ให้ผู้หญิงสวมผ้าถุงและใส่หมวกสานไปทำงาน  ส่วนผู้ชายก็ใส่ผ้าขาวม้าหรือกางเกงจีนแบบคนสมัยก่อน  นั่นแหละพระทั้งหลายจึงไม่สมควรนั่งเครื่องบินไปแสดงธรรม


             การโจมตีพระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง  ก็เป็นเรื่องเดิมๆคือเรื่องสตรี กับเรื่องสตางค์  ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้งเพราะคนทั้งหลายชอบไหลตามกระแส  ญาติโยมก็มักเก่งพระวินัยของพระกัน  พูดกันเป็นฉากๆอย่างแตกฉานและเมามัน  เพราะไม่ใช่เรื่องของตัว แต่พอพระบอกให้ช่วยกันรักษาศีลห้าเท่านั้น กลับพากันเงียบกริบ ทั้งที่เป็นเรื่องของตัวเองโดยเฉพาะ


            มาในยุคของเราที่กำลังจะเผชิญกับภัยพิบัติที่กำลังใกล้เข้ามานี้  นับเป็นความอาเพศแปลกประหลาดประการหนึ่งคือ ฆราวาสชอบพูดและเชี่ยวชาญในพระวินัยของพระ ส่วนพระกลับอยากไปเก่งเศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองหรือกฎหมายอันเป็นเรื่องของฆราวาส  สภาพพระพุทธศาสนาในเมืองไทย  ก็เลยถูลู่ถูกังกันไปตามที่กำลังเห็นอยู่นี้


            เรื่องของหลวงปู่เณรคำนี้  ไม่อาจเอื้อมและไม่กล้าที่จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้  เพียงแต่อยากเตือนทุกคนที่เผลอไผลเข้ามาดูเว็บไซต์นี้  ทั้งผู้ที่ตั้งใจและผู้ที่เข้ามาอย่างบังเอิญ  ได้ตั้งสติสำรวมระวังในการเสพข่าวสาร  ทางที่ดีไม่ต้องไปติดตามข่าวคราวอะไรมาก  ไปฟังธรรมะหรืออ่านธรรมะของท่านหรือของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะได้กุศลจิตมากกว่า  เพราะเรื่องของท่านไม่มีใครจะรู้จริงได้  นักข่าวก็หาข่าวไปเพราะขายข่าวได้  ก็เป็นหน้าที่ของนักข่าวและสำนักข่าวต่างๆ  เพราะอะไรจะทำเรตติ้งได้ดีเท่าการทำข่าวพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้วถูกโจมตีในทางเสียหาย  เขาก็ต้องติดตามและนำเสนอในสิ่งที่ผู้ชมคอยติดตามและอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดา  จะไปว่านักข่าวทีเดียวนักก็ไม่ได้ เพราะอาชีพนักข่าวก็ต้องทำอย่างนั้น


             เรื่องของพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  ไม่ใช่จะมาสรุปกันเอาง่ายๆเพียงการนำเสนอข่าว  บางเรื่องกว่าจะรู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จก็ผ่านไปหลายปี  แม้แต่เรื่องการตัดสินให้นายกรัฐมนตรีที่ทำกับข้าวให้พ้นตำแหน่ง กว่าจะเปิดเผยยอมรับว่าเป็นการตัดสินผิด ก็ตัวผู้ถูกตัดสินได้ตายไปก่อนแล้ว  โดยไม่มีโอกาสเยียวยาอะไร  นั่นแหละคือเรื่องของกฎหมาย เรื่องของทางโลก  


              เรื่องของผู้มีบารมีใหญ่  ก็เหมือนเรือใหญ่ออกมหาสมุทร  ย่อมต้องผจญกับคลื่นใหญ่และพายุใหญ่เป็นธรรมดา  เราทั้งหลายไม่อาจไปตัดสินอะไรเพียงการไหลไปตามกระแสและการโน้มน้าวชี้นำ  นั่นคือการฝึกสติปัฏฐานอย่างสำคัญที่สุด