ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร

ชายข้าวเปลือก  หญิงข้าวสาร


              เคยมีผู้ถามว่าธรรมะอะไรที่ควรจะนำไปใช้ในสังคมปัจจุบัน?  แต่ผู้ที่ถูกถามท่านเฉยๆและไม่ตอบ  เหตุที่ไม่ตอบก็เพราะเป็นการตั้งคำถามที่มองธรรมะเป็นแบบร้านสะดวกซื้อ ที่ตนคิดว่าจะเลือกซื้อเอาได้ตามใจชอบ  ซึ่งเป็นการวางตนไว้สูงแล้วก็จะเลือกเอาธรรมะไปปฏิบัติเหมือนเลือกซื้อเสื้อหรือกะปิน้ำปลา  ที่ถูกแล้วต้องถามว่า ในสังคมปัจจุบันนี้ผู้คนขาดธรรมะข้อใดบ้าง ครอบครัวและสังคมจึงไม่ค่อยปกติสุข?  คำถามอย่างนี้จึงจะสื่อออกจากจิตใจที่เคารพธรรมะหรือเคารพพระรัตนตรัย


              ในที่นี้ใคร่จะกล่าวถึงธรรมะกับสังคมอีกข้อหนึ่งที่ผู้คนและสังคมละเลยและขาดไป  จนทำให้ระบบครอบครัวและระบบสังคมโดยทั่วไปต้องหวั่นไหวและกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ก็คือ การไม่ตระหนักในคำสุภาษิตที่ว่า “ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร”


             ด้วยเราทั้งหลายได้ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ที่ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน  สตรีสามารถที่จะได้รับการศึกษา การประกอบอาชีพ การออกสู่สังคมเท่าเทียมกับผู้ชาย  ตรงนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปที่สังคมไทยได้พัฒนาสู่ความเป็นสากล


             แต่แม้ผู้หญิงจะมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายสักปานใด  แต่สตรีทั้งหลายก็อย่าได้ลืมว่า “ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร”อย่างที่โบราณท่านว่าไว้เป็นอันขาด  นั่นก็คือ ข้าวเปลือกหากแช่น้ำ ข้าวเปลือกนั้นจะงอกงาม  แต่ถ้าเป็นข้าวสารแช่น้ำ  ก็มีแต่จะเน่าหากไม่รีบนำใส่หม้อข้าวไปหุงให้ทันการ  ข้าวเปลือกแช่น้ำมีโอกาสงอกได้ ส่วนข้าวสารแช่น้ำ ย่อมมีแต่เน่าเสียเท่านั้น


             การเรียกร้องสิทธิสตรีเป็นพื้นฐานแนวคิดมาจากการกดขี่ทางเพศอันมีผลจากการเผาแม่มดในยุโรปสมัยกลาง อันเป็นเรื่องมาจากการตามล้างตามล่าสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์จนต้องมีการลงโทษสตรีที่ได้รับความเคารพนับถือในสังคม โดยการเผาทั้งเป็นจำนวนถึงห้าล้านคน จึงมีวิวัฒนาการของการเรียกร้องสิทธิของสตรีให้กลับคืนมาเหมือนเดิม  ซึ่งก่อนหน้านั้นสตรีโดยทั่วไปย่อมได้รับการให้เกียรติในฐานะเทพีอยู่แล้ว  เรื่องนี้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าแต่เดิมนั้นเรานับถือและให้เกียรติสตรีอยู่แล้ว


            ในสมัยพระพุทธเจ้า นางวิสาขาเป็นสตรีที่มีบุญมาก แต่นางก็ไม่ได้ไปเรียกร้องสิทธิสตรีเอากับใคร  ปุณณวัฒนกุมารผู้เป็นสามีก็รักและให้เกียรติต่อกันจนวันตาย ฝ่ายมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อผัว จากที่เป็นมิจฉาทิฐิ  นางกลับใช้ปัญญาและความกล้าหาญตามวิธีการอันนุ่มนวลแบบสตรี  ทำลายพยศและมานะทิฐิของพ่อผัวตัวเองได้ จนนับถือนางวิสาขาว่าเป็นแม่คนหนึ่ง  จนคนทั่วไปเรียกนางติดปากอีกชื่อหนึ่งว่า “วิสาขา มิคารมารดา” ถ้าจะเรียกว่านางวิสาขาเป็นนักปฏิวัติสตรีคนสำคัญก็ยังได้


            อยากให้นักสิทธิสตรีทั้งหลาย เอานางวิสาขานี้เป็นแบบอย่าง การทำงานเพื่อสิทธิสตรีทั้งหลายจะประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม สุภาพบุรุษทั้งหลายจะมีแต่ความชื่นชม  และสิ่งที่สตรีทั้งหลายต้องการจากบุรุษนั้น  บุรุษทั้งหลายก็จะยินดีมอบให้ด้วยความเต็มใจเป็นแน่แท้  เพราะนักสิทธิสตรีแบบนางวิสาขานี้ ท่านมีพร้อมทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบในครอบครัว รับผิดชอบต่อสังคมและการอุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนา  แม้แต่พระภิกษุทั้งหลายก็ให้เกียรติและนับถือเสมือนแม่เลยทีเดียว


              การเท่าเทียมบุรุษเพศคือการไม่ต้องได้รับการกดขี่เยี่ยงทาสแบบสมัยโบราณ  คือการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นหญิงของสตรีผู้มีเพศแม่ ไม่ใช่ปฏิบัติต่อสตรีด้วยความเหยียดหยามในทางเพศหรือเห็นเธอเป็นเพียง “เศษเนื้อ” เหมือนที่มาริลีน มอนโร เคยด่าว่าบุรุษเพศที่กระทำต่อเธออย่างหยาบช้าก่อนเสียชีวิต  ความกดขี่ในทางเพศนี้เอง ทำให้สตรีทั้งหลายลุกขึ้นต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ให้บุรุษเกิดจิตสำนึกไม่ประพฤติต่อเธอดุจทาส  นี้คือมูลเหตุของการเรียกร้องสิทธิสตรี


            ส่วนสตรีที่มีความสามารถจนกระทั่งข่มบุรุษให้ด้อยกว่าตนนั้น  ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปเรียกร้องสิทธิอะไรอีก เพราะไม่มีใครจะมีสิทธิอะไรที่จะมอบให้ใครได้อีกแล้ว  เนื่องจากบุรุษทั้งหลายได้กลายเป็นทาสพวกเธอหมดแล้ว เขาจะไปมีสมบัติอะไรให้เธอเรียกร้องอีก  เพราะตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด  กำลังหาทางพ้นจากความเป็นทาสอยู่ทุกวี่วัน  เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นถูกนำไปเผาทั้งเป็นแบบแม่มดสมัยยุโรปตอนกลางเท่านั้น  นักสิทธิสตรีทั้งหลายขอให้หันหลังมาเหลียวแลบุรุษประเภทนี้บ้าง ซึ่งเริ่มมีประชากรแบบนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อในยุคปัจจุบัน


           เท่าเทียมกับผู้ชายนั้นเท่าเทียมได้ในฐานะมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน  แต่อย่าได้มีใครคิดสั้นเลยเถิดกระทั่งว่า จะทำตัวยังไงก็ได้ เพราะนี่คือเนื้อตัวของฉัน  อย่างนั้นขอให้นั่งฟังคนโบราณพูดอะไรสักคำสองคำก่อน จะไปแล้วค่อยไป  จะไม่กางกั้นอะไร เพราะเนื้อตัวของใคร ก็เนื้อตัวของใคร  ไม่มีใครเขาสนใจอีกแล้ว


           การพยายามจะเก่งเหมือนผู้ชาย จะกล้าหาญเหมือนผู้ชาย  จะเข้มแข็งเหมือนผู้ชายนั้นก็ทำได้ แต่ต้องไม่ลืมความจริงว่าร่างกายของตัวเองมันชะลูดแบบผู้ชายเขาไหม  เมื่อลงจมน้ำวันไหน มันจะแบบข้าวสารนะ ไม่ใช่ข้าวเปลือก  


           ความเข้มแข็งแบบผู้ชายก็แบบหนึ่ง  ความเข้มแข็งแบบผู้หญิงก็แบบหนึ่ง อย่าได้นำไปปะปนให้สับสนกัน  ผู้ชายที่ใช้พละกำลังในการทำงานหรือออกรบก็เป็นความเข้มแข็งแบบหนึ่ง  ผู้หญิงที่ต้องอดทนอยู่แต่บ้านเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัวด้วยความจงรักภักดีโดยไม่ได้แต่งตัวสวยๆอวดสังคมก็เป็นความเข้มแข็งอีกแบบหนึ่ง  และบางทีอาจใช้กำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งกว่าผู้หญิงที่แต่งตัวเฉิดฉายออกสังคมหรือพบปะผู้คนเที่ยวสัมมนาหลายเท่า  แต่เราก็พากันดูหมิ่นสตรีเหล่านี้ว่าเป็นผู้ไม่มีงานทำ หรือเป็นภรรยาที่ต่ำต้อย  โดยลืมไปว่า งานอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับงานของสตรีที่เลี้ยงดูและอบรมบุตรหลานในครอบครัวให้รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบและปลูกฝังให้เป็นคนดี  เราพากันเหยียดหยามหน้าที่อันแท้จริงที่สูงส่งของสตรีกันไปหมดแล้ว


          จะเรียนจบกี่ปริญญา  จะเรียนจบกี่ปริญญาโทเอก  ก็ไม่มีทางที่จะมาเทียบเท่าปริญญาชีวิตของสตรีที่ทำหน้าที่เป็นแม่คนอย่างสมบูรณ์ได้  และสตรีจำนวนมากที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่คือแม่ของประธานาธิบดี แม่รัฐมนตรี แม่สังฆราช แม่ของวีรบุรุษก็มีมากมาย  เหตุใดเราจึงพากันเหยียดหยามคนที่ดูแลลูก ดูแลครอบครัวอยู่บ้าน ที่ชีวิตดักดานไม่ได้แต่งตัวสวยๆว่าเป็นผู้ไม่มีงานทำกันไปได้  เพราะเอาเรื่องเงินเรื่องรายได้เป็นใหญ่ ส่วนครอบครัวจะพังทลาย ลูกเต้าหัวใจจะแตกสลายอย่างไรไม่นำพา อย่างนี้หรือจึงจะภูมิใจว่าฉันได้ทำตามสิทธิสตรี เป็นสตรียุคใหม่  ขอให้ทั้งหญิงและชายช่วยกันพิจารณาดู


              อยากให้นักสิทธิสตรีทั้งหลายช่วยกันรณรงค์ให้สตรีเห็นความสำคัญในข้อนี้  แล้วปัญหาสังคมจะลดลงไป  บางทีพาลูกกินข้าวกับน้ำปลาตามประสายาก  ลูกกลับรักและกตัญญูรู้คุณ และอบอุ่นกว่าหาเงินมาใส่มือลูกห้าร้อยหรือให้แบงค์พัน  หัวใจของลูก หัวใจของเด็ก บางทีบริสุทธิ์และสูงค่าเกินกว่าเงินทอง ซึ่งผู้ใหญ่ได้ลืมความรู้สึกสมัยตัวเองเป็นเด็กนั้นไปแล้ว   อำนาจ เกียรติยศ เงินทอง ไม่มีทางเทียบค่าอ้อมอกที่อบอุ่นของแม่ได้ แม้อ้อมอกแม่อ้อมอกนี้  จะเหม็นกลิ่นเหงื่อและเป็นเสื้อขาดๆ แต่อ้อมอกนั้นย่อมสูงค่ายิ่งกว่าสมบัติใดในโลกของลูกเสมอ  ภูมิต้านทานในชีวิตอันยิ่งใหญ่เกิดจากอ้อมอกแม่นี้เอง


             ขอให้สตรีทั้งหลายจงช่วยกันรักษาคุณสมบัตินี้ ที่บุรุษไม่มีทางทำได้  อย่าปล่อยตัวปล่อยใจแม้กระแสสังคมจะเป็นเช่นไร  จงมั่นคงและยึดมั่นในความเป็นกุลสตรีไว้  แม้บางครั้งจะต้องอาศัยน้ำตาเป็นเพื่อน  บุรุษบางคนอาจทำตนหลงระเริงในสังคมและสิ่งยั่วยุก็เรื่องของบุรุษเขา  ส่วนเราเป็นสตรีจะไปเลียนแบบเขาไม่ได้  เหมือนข้าวสารแม้จะเป็นข้าวเหมือนกัน  แต่ก็ไม่ใช่ข้าวเปลือก  จงรักษาและถนอมตัวไว้อย่าให้สิ่งใดมาแผ้วพานหรือมีราคี  ผู้ชายที่เขาเสียหาย เขากลับคืนได้ง่าย  ส่วนความเป็นหญิง เมื่อเสียหาย ย่อมเสียไปเลย และเสียใจไปตลอด  ท่านจึงว่า “ชายข้าวเปลือก  หญิงข้าวสาร”


            ผู้ชายทุกคนต่อให้เจ้าชู้เพียงใด ต่อให้ผ่านสตรีมาร้อยคน  แต่ในใจส่วนลึกของเขาล้วนใฝ่หากุลสตรีที่จะพลิกหัวใจเขาและเป็นสตรีคนสุดท้ายของเขาแบบเดียวกันทั้งโลก  อย่าได้ลดคุณค่าตัวเองปล่อยตัวไปตามกระแสยั่วยุเป็นอันขาด


           ความทุกข์ของผู้คนในยุคนี้  เก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือความทุกข์จากการผิดหวังหรือผิดพลาดในเรื่องเพศหรือเรื่องความรัก คดีทั้งหลายที่ขึ้นสู่ศาลคดีเยาวชนและครอบครัวก็คือความล้มเหลวของชีวิตในครอบครัวของผู้คนในสังคม  ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปลายเหตุแล้ว  สิ่งที่เราทั้งหลายสมควรช่วยกันตระหนักจึงไม่ใช่เรื่องของใครผิดใครถูก  แต่เป็นเรื่องของการจะทำอย่างไรเราจึงจะมีที่พึ่งทางจิตใจไม่ว่าทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง  นี้ต่างหากที่เราควรร่วมมือกัน  ไม่ใช่ผู้หญิงเอาแต่โทษผู้ชาย หรือผู้ชายเอาแต่โทษผู้หญิง  หากจะโทษกันจริงๆต้องโทษว่า เราไม่น่าพากันเกิดมาว่ายวนในวัฏฏสงสารนี้ต่างหากจึงจะถูก


           ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุหกสิบรูปไปปฏิบัติกัมมัฏฐานในชนบท  ได้อาศัยอุบาสิกาผู้เป็นมารดาของนายบ้านคอยบำรุงอุปัฏฐาก  นางได้ถามพระเหล่านั้นว่ากัมมัฏฐานนี้ปฏิบัติได้เฉพาะพระเท่านั้นหรือ  พระเถระผู้เป็นหัวหน้าตอบว่าแม้เธอผู้เป็นอุบาสิกาทำการงานอยู่บ้านก็ปฏิบัติได้  นางจึงเรียนเอากัมมัฏฐานไปเจริญสติบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ที่บ้านพร้อมกับอุปัฏฐากพระทั้งหกสิบรูปไปด้วย  ต่อมานางได้บรรลุอนาคามีพร้อมทั้งได้ทิพยจักษุและเจโตปริยญาณเพราะวาสนาแต่อดีตเคยบำเพ็ญ


          นางจึงได้ส่องญาณดูว่าพระเถระทั้งหลายที่เราอุปัฏฐากได้สำเร็จคุณธรรมกันบ้างหรือยังหนอ ก็พบว่าทุกรูปยังเป็นปุถุชนไม่มีรูปใดสำเร็จแม้แต่ขั้นโสดาบัน  จึงตรวจดูด้วยญาณก็ทราบสาเหตุว่า เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สัปปายะในเรื่องอาหารการบริโภค นางจึงจัดแจงวางระบบการปรุงแต่งอาหารใหม่ เพื่อให้เป็นสัปปายะแก่พระคุณเจ้าทั้งหลาย  ต่อมาไม่นานพระทั้งหกสิบรูปก็บรรลุพระอรหันต์เพราะการได้รับอาหารที่เป็นสัปปายะที่อุบาสิกาผู้เป็นอนาคามีนั้นจัดบำรุงอุปัฏฐาก


          เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว หลังออกพรรษาปวาณา  พระภิกษุทั้งหกสิบรูปก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ต่างสรรเสริญยกย่องคุณความดีของอุบาสิกานั้น  ด้วยความสำนึกในคุณของอุบาสิกาที่อุปัฏฐากอุปถัมภ์ตลอดพรรษาจนบรรลุธรรม


         พระภิกษุรูปหนึ่ง นั่งฟังอยู่ในที่นั้นได้ทราบเรื่องราวที่พระอรหันต์ทั้งหลายพากันสรรเสริญด้วยความสำนึกในคุณของอุบาสิกา จึงคิดว่า เราเองก็จะไปปฏิบัติธรรม ณ ราวป่าใกล้หมู่บ้านแห่งนั้น  จึงทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปบำเพ็ญสมณธรรม


         เมื่อไปแล้ว เมื่อคิดต้องการสิ่งใด อุบาสิกาก็จัดและสั่งให้คนนำมาถวายไม่มีสิ่งใดบกพร่องโดยไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอ ก็เกิดความกลัวขึ้นมาว่า ธรรมดาของปุถุชนคนอย่างเรานี้ ย่อมคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง อุบาสิกาก็ย่อมจะรู้ความคิดของเราไปหมด สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้เพราะกลัวอุบาสิกาผู้มีอภิญญา จึงลากลับไปหาพระพุทธเจ้า    เมื่อกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบสาเหตุที่ตนหนีกลับมาเพราะกลัวว่าอุบาสิกาจะรู้ความคิด เวลาที่ตนเองคิดไปในทางไม่ดี พระพุทธองค์จึงทรงประทานกำลังใจและให้กลับไปใหม่พร้อมให้คอยดูจิตอย่างเดียว  ไม่ต้องทำอะไรอื่น


         เมื่อพระภิกษุรูปนั้นเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอันถูกกับจริตนิสัย พร้อมทั้งได้รับการอุปัฏฐากในสิ่งอันเป็นสัปปายะจากอุบาสิกา  ต่อมาก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมทั้งปฏิสัมภิทา  


         ด้วยความสำนึกในคุณของอุบาสิกาที่เพราะได้รับการอุปัฏฐากอันดีเลิศจึงมีโอกาสทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นได้ จึงส่งกระแสญาณแล้วระลึกชาติไปว่าในอดีตว่าอุบาสิกาผู้นี้ได้เคยมีอุปการะต่อเราเหมือนชาตินี้บ้างหรือไม่หนอ  พอระลึกได้ถึงชาติที่ ๙๙  ก็ปรากฏว่า ในชาตินั้น อุบาสิกาคนนี้เคยเป็นภรรยาตน แล้วคบชู้ฆ่าตนเองถึงแก่ชีวิต  ก็ถึงความปลงธรรมสังเวชสลดใจ           แต่พอระลึกให้ยาวไกลออกไปถึงชาติที่ ๑๐๐ ก็พบว่า อุบาสิกาคนนั้นเคยทำคุณอันยิ่งใหญ่   โดยได้เสียสละชีวิตเพื่อท่านในชาตินั้นมาแล้ว  ท่านจึงปลงธรรมสังเวชเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของวัฏฏสงสาร  และความที่ทุกสิ่งล้วนแปรปรวนไม่อาจยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดได้  แม้กระทั่งความรักความผูกพันใดๆ ตลอดทั้งความเป็นสามีภรรยา  ท่านได้หวนมาพิจารณาสังขารของท่านว่าจะมีอายุยืนยาวไปอีกนานเพียงใด  สุดท้ายก็ประจักษ์ว่าอายุสังขารของท่านถึงคราวสิ้นอายุขัยในวันนั้น  ท่านจึงปล่อยวางสังขารแล้วปรินิพพานไปในที่สุด


            การครองตัวครองใจให้อยู่แต่ในสิ่งดีงามของสตรีมิใช่ความโง่  แต่คือความฉลาดที่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้านั้นคือหลุมพรางของหุบเหว ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการหลอกให้เราตกลงไป  กิเลสตัณหากามารมณ์ความทะยานอยาก  จะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติก็มีประจำร่างกายสังขารของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง  เมื่อได้รู้ความจริงว่าความเป็นผัวเป็นเมีย และความรักความใคร่เหล่านี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีของลีลาชีวิตอย่างหนึ่งในการแสดงบทละคร  ไม่นานก็แยกย้ายจากลาไปตามกฎแห่งกรรมของแต่ละคน  เพียงอดทนนิดหน่อยการแสดงละครบทนี้ก็อวสานแล้ว  เราจะเอาตัวของเราไปเกลือกกลั้วสิ่งสกปรกทำไม  สู้ฝึกจิตฝึกใจอยู่กับพระธรรมดีกว่า  จนกระทั่งจิตดวงนี้เหนือรักเหนือชัง  ไม่มีความมั่นหมายในความเป็นหญิงเป็นชาย  ตามรอยพระอรหันต์ทั้งหลาย  ไม่ต้องมาว่ายวนเทียวเวียนเกิดเวียนตายอีกต่อไป  นั่นคือสิ่งที่ท่านทั้งหลายควรยึดถือเป็นที่พึ่งประจำใจ


คุรุอตีศะ
๒๑  มิถุนายน  ๒๕๕๖