ความตายไม่น่ากลัว

 ความตายไม่น่ากลัว

 

กายเนื้อเป็นเพียงเปลือกนอก เมื่อกายเนื้อแตกดับทำลายด้วยโรคบางอย่าง ด้วยอุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติ จิตวิญญาณเมื่ออาศัยร่างกายนี้ต่อไปไม่ได้ ก็ไปเกิดใหม่ ตามภูมิจิตภูมิธรรม หรือตามคุณภาพของจิตเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์

 

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงว่า "ที่เราตายกันทุกวันนี้มิได้ตายจริง เพียงแต่เปลี่ยนร่างใหม่ เปลี่ยนบ้านใหม่ เวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

 

โลกหลังความตายมิได้จบกันเพียงแค่สิ้นลมหายใจเหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน

 

ถ้าคนเคยฝึกสติไว้ดี เมื่อสายใยแห่งชีวิตขาดลง จะเห็นความชัดเจนระหว่างกายทิพย์กับกายเนื้อ ซึ่งในระหว่างนี้ทางการแพทย์ปัจจุบันอาจยังไม่วินิจฉัยว่าตาย เพราะยังมีชีพจรอยู่ แต่วิญญาณของเขาได้ออกจากร่างนั้นแล้ว

 

บางคนกายเนื้อของเขาอาจกระเสือกสนทุรนทุรายอย่างน่าเวทนา แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น จิตของเขานึกถึงวัดที่เคยไปทำบุญแล้วเกิดปีติสุข หรือเห็นภาพนิมิตอันนำมาซึ่งความบันเทิงใจ เขาอาจไปสู่สุคติในช่วงลมหายใจสุดท้าย อย่างนี้ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน 

 

เพราะว่าคติของบุคคลผู้ไปสู่สัมปรายภพย่อมไม่แน่นอน ยกเว้นพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป

 

แม้ท่านจะตายในสถานการณ์อย่างไร สติของท่านจะมาทันการทันเวลา มีแต่สุคติเป็นที่หวังอย่างเดียว

 

ผู้ที่มีความรู้เรื่องโลกหลังความตาย หรือบุคคลเคยผ่านความเป็นความตายจนมองเห็นสัจธรรมของชีวิต ชีวิตที่ต่อไปจากนั้นจึงมุ่งแต่อยากจะสร้างแต่ความดี มีแต่อยากทำบุญ อยากเสียสละ รู้สึกว่าเวลาเหลือน้อยเข้าทุกทีในการสร้างบุญสร้างกุศล

 

 เพราะรู้ชัดในดวงจิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่สามารถนำไปได้ในสัมปรายภพ นอกจากบุญกุศล

 

สิ่งที่มีค่าสูงสุดเมื่อกายเนื้อแตกดับไปสู่กายทิพย์ มีแต่คุณภาพของจิตเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งอันแท้จริง

 

ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เราก็อาศัยกายเนื้อนี้สร้างบุญสร้างกุศลไม่ขาดสาย

 

เมื่อไปสู่โลกหน้า เราก็เข้าสู่ภาวะแห่งโลกทิพย์ด้วยความปลอดโปร่งเบิกบานใจ

 

เหมือนชาวนาบากบั่นทำนาจนข้าวออกรวงเก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉาง ก็เบิกบานใจ 

 

บุคคลใดที่ได้ทำหน้าที่ของตนในระหว่างที่เป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิใด ก็จะมีแต่ความบันเทิงใจ 

 

ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะบางทีอาจได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมหลายเท่า

 

คุรุอตีศะ

๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๖