รักที่เหนือกว่าความเป็นภรรยาสามี

รักที่เหนือกว่าความเป็นภรรยาสามี

 

           เรามักสรุปและตัดสินเอาง่ายๆว่า การเป็นสามีภรรยาคือความรัก บางคนก็ยึดมั่นในความคิดว่า ต้องได้แต่งงานกันจึงจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความรัก หรือบางคนอาจจะคิดได้ดีกว่านั้น โดยคิดว่าต้องได้อยู่เป็นคู่กันจนวันตาย จึงจะเป็นความหมายว่ารักแท้

 

          ที่กล่าวมานั้นย่อมจัดได้ว่าเป็นนิยามความรักที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง จึงมีบางคนพยายามจะแต่งงานหรือมีคู่ให้ได้  เพราะไปสรุปเอาโดยง่ายว่าความรักคือการแต่งงาน หรือต้องจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย

 

          กฎหมายไม่ได้มีไว้สำหรับความรัก และความรักก็ไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมาย แต่กฎหมายมีไว้สำหรับบังคับคนที่หมดรักต่อกันแล้วต่างหาก  ไว้คุ้มครองฝ่ายหญิงหรือเด็กที่เกิดมา และการจัดการทรัพย์สินให้เรียบร้อย หลังจากที่ทั้งคู่หมดรักต่อกันแล้ว  

 

          ความรักบางครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับศีลธรรมและกฎเกณฑ์ใดๆ ที่มนุษย์ผู้เคร่งศีลธรรมทั้งหลายบัญญัติขึ้นอีกด้วย หลายคนอาจตกใจที่ได้ฟังเช่นนี้ แต่นี่คือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ และนี่คือเรื่องใหญ่ที่หลายคนไม่เข้าใจ ไปบังคับคนที่มีความรักให้มีศีลธรรมตามแบบวัฒนธรรมวิคตอเรียน  โดยไม่อาจยอมรับความจริงว่า บางคนก็มีความรักความใคร่ โดยไม่สนใจศีลธรรม แต่บางคนเคร่งศีลธรรม แต่หัวใจไม่เคยสัมผัสความรักเลย

 

          ศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีไว้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งสูงกว่ากฎหมายไปอีกขั้นหนึ่ง ศีลธรรมนี้จึงมีปรากฏทั่วไปในทุกลัทธิทุกศาสนา เพียงแต่มีความละเอียดประณีตแตกต่างกันไปตามภูมิจิตของผู้บัญญัติ  จึงปรากฏว่ามีผู้เคร่งศีลธรรมที่เอาแต่เคร่งครัดตามบัญญัติและความยึดมั่นถือมั่นด้วยอวิชชา กลับมีจิตที่ปราศจากความเมตตาและความอ่อนโยนอยู่มากมาย เพียงตนเองได้ภูมิใจว่ามีศีลธรรมสูงกว่าคนอื่น

 

          ศีลธรรมอันแท้จริง ต้องมีพื้นฐานมาจากความรัก นั่นคือศีลธรรมอันแท้จริงที่สูงและละเอียดยิ่งกว่าตามบัญญัติหรือตามตัวอักษร  อันดับแรกที่สูงสุดคือความรักความเมตตา ต่อมาจึงเป็นศีลธรรม ที่ต้องคอยควบคุมบังคับกาย วาจา ใจของมนุษย์ที่เริ่มไร้ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ หลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของกฎหมาย อันจำเป็นต้องนำมาใช้ เมื่อคนไม่เอาศีลธรรมอีกแล้ว เพื่อให้ผู้คนอยู่ร่วมกันได้ด้วยความปกติสุขตามสมควร

 

          การแต่งงานหรือความเป็นสามีภรรยา โดยทั่วไปแล้วย่อมจัดว่าเป็นความรักที่งดงามในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็คือความเคารพกันและมีความรักต่อกัน ไม่ใช่เพียงแค่ความต้องการทางเพศหรือเพียงเรื่องเนื้อหนังของหญิงชาย  คนเราต้องมีความรักความเมตตาและความเคารพต่อกันไม่น้อย จึงสามารถที่จะยึดมั่นถือกันเป็นคู่ครองหรือคู่ชีวิต  คนทั่วไปจึงนิยมเอาการแต่งงานหรือการประกาศต่อชาวบ้านว่าเป็นสามีภรรยา มาเป็นบรรทัดฐานว่าตนเองมีความรักแท้ประการหนึ่ง

 

          แต่ถ้าสามีภรรยาคู่ใด ไปสรุปเอาง่ายๆว่า ที่ตนได้แต่งงานหรือมีสามีภรรยาเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว คงจะรักมั่นและซื่อสัตย์ต่อกันจนตาย  ก็ขอให้เปิดใจกว้างและรับเอาความคิดใหม่ที่ผู้รู้ท่านกล่าวไว้มาเป็นข้อพิจารณา

 

          มีผู้รู้ท่านกล่าวว่า สามีภรรยาหากใช้ชีวิตร่วมกันเพราะเห็นแก่ความสุขทางเพศ คู่นั้นจะมีความสุขอยู่ได้เพียง ๓ ปี   หากสามีภรรยาคู่ใดแต่งงานเพราะเห็นแก่ฐานะ เกียรติยศ หรือวงศ์ตระกูล  คู่นั้นจะมีความสุขอยู่ได้เพียง ๗ ปี ก็จะอยากแยกทางหย่าร้างกัน

 

          คู่ใดแต่งงานหรือใช้ชีวิตร่วมกันด้วยเห็นแก่ความรักและความกตัญญูเป็นพื้นฐาน ความรักนั้นจะอยู่ได้นานถึง ๑๕ ปี   แต่หากไม่พากันทำบุญทำทาน เข้าวัดฟังธรรมเอาแต่คิดสร้างฐานะและหาทรัพย์สินเงินทอง ความรักที่เคยหวานชื่นและเข้าใจ ก็จะหมดรักและหมดความเยื่อใยต่อกัน อย่างไม่น่าเป็นไปได้

 

         ส่วนคู่สามีภรรยาใด พากันตั้งใจสร้างหลักฐานและไม่ทอดทิ้งศีลธรรมหรือศาสนา หมั่นให้ทานรักษาศีล ฟังธรรมทุกครั้งที่มีเวลา  พากันตั้งจิตอธิษฐานด้วยใจรักที่มีต่อกันว่า จะพากันสร้างสมบารมีไม่ประมาทในชีวิตไปจนวันตาย สามีภรรยาคู่นั้นจะไม่มีสิ่งใดมาพรากความรักของคนทั้งสองได้เลย สามีภรรยาเช่นนี้จะไม่ต้องมีภาระในการต้องคอยระวังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนอกใจ จะมีความรัก ความเคารพ ความซื่อสัตย์ให้กันจนวันตาย โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดเรียกร้องสิ่งเหล่านั้นต่อกันแต่อย่างใด

 

          การแต่งงานเป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตจริงของหญิงชาย ที่ไม่ใช่นวนิยายโรแมนติคอีกแล้ว แต่หากคนทั้งสองสามารถพัฒนาความรักที่เริ่มต้นด้วยความอุดมแห่งทางเพศของหญิงชายจนกระทั่งเกิดความรักแท้ตามลำดับ  สุดท้ายเขาทั้งสองจะกลายเป็นเพื่อนแท้ในชีวิตที่พากันสร้างบารมีเพื่อออกจากวัฏฏสงสาร

 

           แท้จริงแล้วคนโบราณที่ท่านให้แต่งงาน ก็เพื่อให้ลูกหลานที่พอใจใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ ได้พัฒนาความรักที่เริ่มต้นจากความยึดติด ความหลงใหลในทางเพศ อันเป็นของประจำสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์นี้ ให้พัฒนาก้าวหน้าและสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ตามหลัก ทาน ศีล ภาวนา จนกระทั่งความรักซึ่งยังเป็นเพียงสามัญธรรมดานั้น ได้กลายเป็นความรักแบบพระโสดาบัน เป็นความรักที่กลายเป็นความรู้ ตื่น เบิกบาน ในที่สุด

 

             ด้วยเหตุนี้การแต่งงานหรือความเป็นสามีภรรยา  จึงเป็นเพียงก้าวที่เริ่มต้นของการเดินทาง เปรียบเหมือนเพื่อนรักสองคนที่ตกลงปลงใจต่อกันว่า จะพากันพายเรือลำน้อยออกสู่ท้องทะเลเพื่อไปสู่ฝั่งอีกฝั่งหนึ่ง คนหนึ่งรับหน้าที่พาย อีกคนหนึ่งรับหน้าที่คัดหางเสือ แล้วช่วยกันพายออกไปสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ ด้วยหัวใจที่อบอุ่นด้วยความรักเป็นต้นทุน หากแม้นเจอมรสุมหรือพายุก็จะไม่ทิ้งกัน จะบากบั่นฟันฝ่าอุปสรรคและมรสุมด้วยใจมั่น จนกว่าเรือน้อยจะถึงฝั่งดังที่ต้องการ ชีวิตของสามีภรรยาจึงงดงามและดูสูงส่งก็ตรงนี้

 

            หากสามีภรรยาคู่ใดมีสติปัญญา  ได้พบหรือได้ฟังผู้รู้ช่วยชี้ทางดุจการมอบเข็มทิศในการพายเรือ สามีภรรยาคู่นั้นจะทราบได้ทันทีว่า แท้จริงแล้ว หากจะให้ความรักระหว่างเราทั้งสองยั่งยืนและมั่นคงต่อกันจนวันตาย ดังที่คู่รักทั้งหลายทุกคู่ในโลกต่างพากันปรารถนา เราจะต้องช่วยกันพัฒนาความรักของเราให้สะอาด สูงส่ง และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น  จนกระทั่งหัวใจของเราทั้งสองก้าวขึ้นสู่ความรักที่เหนือความเป็นสามีภรรยา

 

            ความรักเช่นนี้เป็นความรักแห่งพุทธะ  เป็นความรักของพระโพธิสัตว์เจ้า เป็นความรักอันละเอียดลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยความเสียสละและหวังดี  มีความสุขจากการให้ มีความสุขจากการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข มีความก้าวหน้า มีความสุขที่ได้ยืนอยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร็จทั้งปวงของคนที่เรารัก นี้คือของความรักของพระโสดาบันบุคคล ที่มนุษย์ผู้ปรารถนาความรักแท้ทุกคนล้วนปรารถนา

 

คุรุอตีศะ

๑๕  มิถุนายน  ๒๕๕๖