เราคือผู้สร้าง เราคือผู้เป็นไป

 เราคือผู้สร้าง เราคือผู้เป็นไป

 

ชีวิตย่อมเป็นไปตามความคิดและเจตจำนงที่ได้ตั้งไว้

ชีวิตในอนาคตจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นกับความคิดและเจตนารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่แท้จริงของหัวใจของเราในวันนี้

ชีวิตที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ในทุกวันนี้ หรือที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ คือผลลัพธ์ของความคิดและการกระทำเมื่ออดีตที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นมโนกรรมและกายกรรม

 

กฎของธรรมชาติ คือไม่มีสิ่งใดเป็นความบังเอิญ ทุกสิ่ง ทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราได้กระทำไว้เองทั้งสิ้น ไม่มีใครบงการหรือทำให้เรา เราคือผู้สร้าง เราคือผู้เป็นไป และเราก็รับผลแห่งสิ่งที่ตนได้กระทำไว้ นี้แหละคือกฎแห่งกรรม

 

พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านมีศรัทธาคือเชื่อมั่นในกฎธรรมชาติข้อนี้ อย่างปราศจากความลังเลสงสัย

(ละวิจิกิจฉาสังโยชน์ได้) คือมั่นใจในกฎเกณฑ์ข้อนี้อย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ท่านจึงมีทั้งความอาจหาญในธรรมและมีความเบิกบานในธรรม

เนื่องจากเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเหตุและผลของกลไกชีวิตตลอดสาย คือเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในหัวใจตัวเองว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน ไม่ว่าดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ตนนั่นเองเป็นผู้สร้าง คือ เป็นผู้ได้กระทำไว้เอง

ที่ท่านไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคขวากหนามใดๆ ก็เพราะมีศรัทธาอันไม่คลอนแคลนหวั่นไหวว่าเมื่อตนมุ่งมั่นตั้งใจประกอบแต่กรรมดี ในที่สุดชีวิตก็ต้องเจริญก้าวหน้า ไปสู่ความประเสริฐสูงส่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ่งใดหรือบุคคลใดมากั้นกางขวางกั้นได้เลย ดุจการปลูกมะม่วงหรือผลไม้ ก็มั่นใจว่าจะต้องเกิดผลไม่วันใดก็วันหนึ่ง

 

บุคคลใดก็ตามที่เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมอย่างซาบซึ้งเต็มหัวใจ ย่อมละบาปทั้งหลายโดยอัตโนมัติ เพราะรู้ชัดว่าจะนำความทุกข์ความเศร้าหมองมาให้

การเชื่อในกฎแห่งกรรม จึงทำให้เกิดกำลังใจที่จะสร้างแต่ความดี สร้างแต่บุญกุศล

เหมือนคนที่มั่นใจว่าปลูกมะม่วงแล้วได้ผลมะม่วง จึงมีความสุขและมีความเพียรที่จะขยายสวนมะม่วงให้ใหญ่ออกไป

ยิ่งทำ ยิ่งพากเพียร ยิ่งเสียสละ ก็ยิ่งมีความเบิกบาน

 

จงมีศรัทธาในความดีและมั่นใจในกฎแห่งกรรม เลือกกระทำแต่กรรมดี

เราจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถลิขิตชีวิตของเรา ให้เป็นไปตามเจตจำนงและความคิดที่ดีงามสูงส่งที่อยู่ภายในหัวใจของเราดวงนี้เสมอมา

 

 

คุรุอติศะ

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖