กรรมฐานของคนยุคใหม่

 กรรมฐานของคนยุคใหม่

 

                          ในยุคของพวกเราสมัยนี้ เป็นยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่หัวใจขาดความรักความอบอุ่น สิ่งที่ผู้คนต้องการคือความรักความจริงใจ และการได้รับความเอื้ออาทรความห่วงใยจากใครสักคน สิ่งที่ผู้คนแสวงหาคือความรักความเข้าใจ เราไม่ได้ต้องการสมาธิหรือฌานญาณหรือต้องการความสงบวิเวกแบบยุคก่อน

 

                          สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่หลวงตา ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าที่ท่านออกธุดงค์ บำเพ็ญถือธุดงคกรรมฐานจนกระทั่งบรรลุธรรมตามที่ท่านเล่า หรือตามที่หนังสือต่างๆพรรณนาไว้ นั่นเป็นสมัยที่คนไทยทั้งประเทศมีประชากรเพียง ๘ ล้านคน จนกระทั่งรัฐบาลในยุคนั้นต้องประกาศให้รางวัลแก่ครอบครัวที่มีลูกมากเป็น พิเศษ สมัยนั้นมีแต่ป่าเขาและไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ คนในยุคนั้นเป็นวิถีชีวิตที่อยู่กันผาสุก สามีภรรยาเมื่อแต่งงานกัน ก็มีเวลาคลุกคลีอยู่ด้วยกันตลอดเวลา

 

                          ด้วยเหตุนี้ก่อนแต่งงานท่านจึงให้สร้างเรือนหอให้เสร็จก่อน เมื่อแต่งงานแล้วจะได้ฮันนีมูนกันได้อย่างผาสุกทุกเวลา จนกระทั่งผ่านพ้นช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน ท่านก็เริ่มขยันออกทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ตื่นเช้าก็ทำงานด้วยกัน  พอตอนค่ำก็ได้ทานอาหารพร้อมหน้ากัน กลางคืนก็นอนเคียงกันจนรุ่งเช้า  ชีวิตของผู้คนเมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว ท่านไม่ได้พลัดพรากจากัน ท่านอุดมด้วยความรักความอบอุ่น  ท่านไม่ได้โหยหาความรักความเข้าใจเหมือนในยุคของพวกเราสมัยนี้ เมื่อบารมีแก่กล้า ท่านก็จึงสละครอบครัวให้กายหลีกออกจากกาม ออกจากครอบครัว จึงมุ่งหน้าหาความสุขจากความวิเวกและสมาธิ  กรรมฐานในยุคที่ผ่านมาจึงเน้นการทำสมาธิตั้งแต่ต้น  เพราะผู้คนในยุคนั้นมักให้ทานอยู่เป็นนิสัย และถือเอาศีลธรรมเป็นใหญ่ จิตใจจึงมีความปกติร่มเย็นเป็นพื้นของจิตอยู่ก่อนแล้ว เมื่อปลีกตัวออกสู่ความวิเวกบำเพ็ญภาวนา สมาธิก็ย่อมเกิดขึ้น อย่างที่ได้อ่านในตำราและหนังสือเกี่ยวกับพระกรรมฐาน การที่ท่านเน้นสอนสมาธินั้นถูกแล้ว

 

                           แต่ในยุคสมัยของเรานี้  พวกเราเป็นพวกขาดแคลนความรักความอบอุ่น  ต้องถูกพรากจากอกพ่ออกแม่ถูกบังคับให้ไปโรงเรียนร้องไห้กระจองอแงตั้งแต่ เด็กเล็ก  อยู่โรงเรียนใจก็โหยหาคิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่ตลอดเวลา รออยู่แต่ว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลา จะได้กลับบ้านได้เห็นหน้าพ่อหน้าแม่เสียที

 

                          พอเริ่มเข้าอายุสิบสามสิบสี่ ใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มสนใจเด็กสาว  ส่วนเด็กสาวก็เริ่มมีหัวใจหวั่นไหวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มมองด้วยสายตาที่ไม่ ค่อยบริสุทธิ์เหมือนอย่างแต่เก่าก่อน  พออายุสิบหกสิบเจ็ด หัวใจทั้งเด็กหนุ่มเด็กสาวก็เริ่มมีชายในฝันสาวในฝัน และอยากจะทำอะไรตามสัญชาตญาณที่เริ่มบีบคั้น แต่ผู้ใหญ่ก็บอกและบังคับว่าให้ตั้งใจเรียนหนังสือ จะได้มีอนาคต ผิดกับคนสมัยก่อนเขาไม่ต้องเรียนหนังสือเพื่อมีอนาคต ในวัยขนาดนี้พวกท่านเหล่านั้นบางคนก็ได้ขึ้นสวรรค์ ได้ลิ้มรสข้าวใหม่ปลามันไปเรียบร้อยแล้ว

 

                           แต่พวกเราในสมัยนี้เพราะต้องการได้ชื่อว่าปัญญาชน เป็นคนก้าวหน้าและทันสมัย ก็ต้องพากันอดอยากปากแห้งกันต่อไปเพื่อเรียนให้จบปริญญาหรือมุ่งหน้าทำงานหา เงิน  ต้องอดทนอดกลั้นด้วยน้ำตานองหน้าแต่ก็เผยความในใจบอกใครไม่ได้ เพราะเขาจะตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี  แต่ก็ยังมีบางคนที่อาจหาญชาญชัยแลกที่จะเป็นคนไม่ดี เพื่อได้ขึ้นสวรรค์ทันใจตามแบบคนโบราณ

 

                          และสำหรับบางคนบางคู่ แม้จะตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน มีฐานะเป็นคู่รัก หรือเป็นสามีภรรยา แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน จะได้พบหน้ากันก็ทั้งยาก กว่าจะได้เห็นหน้ากัน กว่าจะได้คุยกัน กว่าจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง ช่างหาเวลาและโอกาสได้ยากยิ่ง เมื่ออยู่ด้วยกันไม่ทันเต็มอิ่ม ก็ต้องพลัดพรากแยกกันไปทำหน้าที่ทำการงาน  แม้จะคุยกันได้ทางโทรศัพท์แต่ก็ไม่เหมือนการอยู่ด้วยกันแน่ๆ

 

                         นี้คือความสับสนทางจิตใจของผู้คนสมัยนี้ที่วกวนและซับซ้อน ผิดกับคนสมัยก่อนยิ่งนัก  วิถีชีวิตที่ทนต่อแรงกดดันทางเพศเพื่อแลกเอาอนาคตและวุฒิการศึกษาหรือการ แสวงหาเงินทอง แม้จะได้มาตามที่ตัวเองต้องการ แต่จิตใจกลับแห้งผากและต้องขาดสิ่งหนึ่งไป นั่นคือจิตใจแห่งความรักและความอ่อนโยน  เมื่อความรักขาดหายไปจากชีวิต จิตใจจึงแข็งกระด้างและขาดน้ำใจไม่ว่าชายหรือหญิง  สังคมที่ผ่านมาไม่ว่าชายหรือหญิงต่างวิ่งตาม”ความเป็นพ่อ” โดยทอดทิ้ง”ความเป็นแม่”ไว้เบื้องหลัง อย่างไม่แยแสและไยดี

 

                          คุณลักษณะความเป็นพ่อคือ ความกล้าหาญ แข็งกร้าว บากบั่น เต็มไปด้วยการแข่งขันและการต่อสู้ ส่วนคุณลักษณะแห่งความเป็นแม่นั้นคือ ความอ่อนโยน ความอบอุ่น ความนุ่มนวล รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ความถนอมน้ำใจ การยอมเสียเปรียบหรือยอมแพ้ในบางครั้งเพื่อสมานไมตรีไว้ให้ยืนยาว ความอดทน

 

                          สังคมปัจจุบันต่างโหยหา”ความเป็นแม่”นี้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง  ผู้ชายต้องการความนุ่มนวล ความอบอุ่น ต้องการคนคอยให้กำลังใจ ต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยมีผู้คอยค้ำจุนและให้กำลังใจอยู่เบื้องหลัง  จึงจะทำให้มั่นใจในชีวิตว่าหากตนเองพลาดล้มเสียหลัก ก็ยังมีเท้าหลังช่วยยั้งและพยุงไว้

 

                          ผู้หญิงก็ต้องการว่า ยามที่ตนเองก้าวเดินบนเส้นทางชีวิต ยังมีบุคคลที่จริงใจและไว้วางใจได้คอยประคับประคองไม่ให้เสียทีและพลั้ง พลาด  ยามอ่อนล้าและท้อแท้ก็อยากมีใครที่จิตใจสูงส่งและหวังดีประดุจพ่อคอยให้ กำลังใจ  สิ่งเหล่านี้ได้ขาดหายไปในชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบัน  ดังนั้น สิ่งใดเล่าที่จะช่วยให้จิตใจของผู้คนสมัยนี้ฟื้นคืนและมีกำลังใจในการก้าว เดินบนเส้นทางชีวิต

 

                          แท้จริงแล้วผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากไปนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงจนปวดหลัง เพราะปวดหลังจากการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือที่โต๊ะทำงานมาทั้งวันแล้ว  น้อยคนที่จะอยากไปเข้าคอร์สกรรมฐาน ที่ต้องจากคนรัก ต้องจากครอบครัว ต้องจากภาระหน้าที่ตั้งหลายวัน  จิตใจต้องถูกกดดันและวิตกกังวลมากมาย แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านั้น จึงยอมทนต่อแรงกดดันและความเคร่งเครียดเพื่อแลกเอากับความสงบใจและได้มี โอกาสออกห่างจากภาระหน้าที่เพื่อได้ตั้งสติชั่วคราว แท้จริงแล้วเราอยากได้ผู้ชี้ทางสว่างมากกว่า เพื่อให้เรามีกำลังใจในการมีทำหน้าที่และสร้างสรรค์ความดีต่อไป

 

                          กรรมฐานสำหรับคนยุคใหม่หรือคนสมัยนี้ ควรเป็นพรหมวิหาร ๔  คือความรักความเมตตา ความสงสารกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ ใจที่โหยหาและขาดความรักความอบอุ่นตลอดมา จึงจะได้รับความชุ่มชื่นและมีกำลังใจทำความดี

 

                          พรหมวิหาร ๔ คือ กรรมฐานหมวดหนึ่งในบรรดากรรมฐาน ๔๐ อย่าง ได้แก่ เมตตา ความปรารถนาดีอยากเห็นคนอื่นมีความสุข กรุณา ความปรารถนาดีอยากให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน มุทิตา ความรู้สึกชื่นชมยินดีกับความสำเร็จ ความได้ดีมีสุขของคนอื่น และอุเบกขาความปลงใจหรือปลงตกในเคราะห์กรรมของผู้อื่น ที่พ้นวิสัยของตัวเองจะยื่นมือช่วยเหลือได้ ด้วยมีสติปัญญามองเห็นว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมมีวิถีชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

 

                          กรรมฐานของคนยุคใหม่คือความรักความเมตตา ไม่ใช่การทำสมาธิเหมือนสมัยก่อน จนกว่าดวงใจของเราจะไม่ขาดแคลนต่อความรักอีกแล้ว จิตใจจะค่อยๆเลื่อนไหลหลีกออกจากาม หลีกออกจากอารมณ์โลกๆเป็นความสงบเป็นสมาธิได้เอง เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมมูล สมาธิย่อมเกิดเมื่อไร้ความตั้งใจแล้ว

 

                          มองคู่รักของเรา มองสามี มองภรรยาของเราดุจเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมในการช่วยกันพายเรือลำน้อยโต้คลื่น ลมและมรสุมอยู่กลางทะเล จงรักกันมากๆ สงสารกันมากๆ เห็นใจกันมากๆ ด้วยพลังแห่งความรักความเมตตาที่มีต่อกันนี้ จะเกิดอานุภาพให้เรือน้อยลำนี้ผ่านคลื่นลมและฝ่ามรสุมไปได้อย่างปลอดภัย จงไว้วางใจซึ่งกันและกัน  อย่าได้สร้างเงื่อนไขใดๆกับความรักหรือกับคนที่เรารัก

 

                          ความรักนี้แหละจะเป็นพลังและเป็นยาวิเศษ ที่จะเยียวยารักษาหัวใจที่แห้งผากและอ่อนล้ามานาน  ขอเพียงแต่มีใจรักอันบริสุทธิ์และงดงาม โลกใบนี้ย่อมมีรอยยิ้มให้เราเสมอ  หากหัวใจของเรามีความรักที่สะอาดขึ้น เสียสละมากขึ้น  ความหมกมุ่นในกามารมณ์ที่เราทั้งหลายพากันติดหล่มอยู่นั้น จะเกิดพลังให้ถ่ายถอนและมีความรักที่สูงส่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ อย่าวิตกไปเลย  การที่ผู้คนในยุคนี้หมกมุ่นมัวเมาในกามารมณ์ ก็เพราะดวงใจของเขาแห้งผากและขาดความรักชนิดนี้นั่นเอง

 

                          มีชีวิตอยู่กับขณะนี้ด้วยความรู้ตัว ทำหัวใจให้แช่มชื่นและเบิกบาน มอบความรักให้กว้างออกไปสู่ผู้คน  ไม่คับแคบเฉพาะเพียงแค่คนรักหรือสามีภรรยาของเรา แต่มอบความปรารถนาดีไปสู่สรรพสัตว์ และต้นไม้ใบหญ้า  จงพยายามซึมซับและเรียนรู้ในการที่จะก้าวออกจากความรักแบบปุถุชน  สู่ความรักอันละเอียดลึกซึ้งแบบพระโสดาบัน  แล้วการโหยหาความรักที่คนทั้งหลายแสวงหา จะไม่มีอีกเลย เพราะดวงใจนี้เต็มเปี่ยมแล้วด้วยความรักความเมตตาแบบพุทธะ เป็นความรักของพระอริยเจ้า เป็นความรักของพระโพธิสัตว์เจ้าที่เกื้อกูลโลก


คุรุอตีศะ
๑  มิถุนายน  ๒๕๕๖