วิถีของแต่ละชีวิต

 วิถีของแต่ละชีวิต

 

 

                      วีถีชีวิตของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน  บางคนเกิดมาเสวยบุญ บางคนเกิดเสวยกรรม บางคนเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์และทำหน้าที่บางอย่างแล้วก็ลาลับดับหายจากโลกนี้ไป  เหลือไว้เพียงความทรงจำของผู้คนชั้นหลัง แล้วในที่สุดก็ถูกกาลเวลากลืนหายไป นี้คือสัจธรรมที่มีกับทุกชีวิตไม่เลือกว่าหญิงหรือชาย


                      สามเณรบุนนาคที่ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงอายุ ๔๑ ปี ละสังขารไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่วัดบรมนิวาส เป็นตัวอย่างของพระธุดงค์กรรมฐานในยุคแรกๆที่มีชีวิตโลดโผนน่าอัศจรรย์เป็นที่เลืองลือมาก


                      ท่านสนใจเรื่องพระและอยากบวชตั้งแต่ยังเล็กมาก จนกระทั่งขออนุญาตพ่อและแม่ออกบวชตั้งแต่อายุได้ ๖ ขวบ  ได้ออกเดินธุดงค์ผจญภัยกับเสือลายพาดกลอนอยู่หลายครั้ง เสือและสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายท่าน  ท่านชอบหลีกเร้นอยู่ในป่าและมีอิทธิฤทธิ์มากมาย  ในช่วงต้นของชีวิตท่านก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงชอบทำอะไรโลดโผนไม่เหมือนพระเณรทั่วไป


                   จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม เดินจาริกธุดงค์ในแถบประเทศลาว ไปพบกับพระอาจารย์บุญหลายที่ท่านพักอยู่ในถ้ำรูปเดียว พระอาจารย์ท่านนี้มีเจโตปริยญาณเป็นที่เลื่องลือ พอสามเณรบุนนาคก้มกราบยังไม่ทันได้ถามปัญหาที่ค้างใจมานาน ก็หัวเราะแล้วพูดแก้ปัญหาให้โดยยังไม่ทันได้พูดอะไรซักคำ


                    พระอาจารย์บุญหลายได้กล่าวถึงอดีตชาติของสามเณรบุนนาคว่า “ในอดีตเคยออกบวชเป็นสามเณรมาหลายชาติ แต่ไม่ทันได้บวชพระก็สิ้นชีวิตเสียก่อนเป็นเช่นนี้มาทุกชาติ มาชาตินี้วิบากกรรมเช่นนั้นได้หมดลงแล้ว  อย่างไรเสียในชาตินี้ก็จะต้องได้บวชเป็นพระแน่นอน”


                   ท่านยังได้กล่าวถึงอุปนิสัยที่ห้าวหาญ เป็นใจนักเลงไม่กลัวใครของท่านสามเณรบุนนาคอีกด้วยว่า “เพราะในอดีตชาติตัวท่านได้เคยเกิดเป็นเสือโคร่งในป่ามาแล้วถึง ๑๑ ชาติ  จึงทำให้มีนิสัยเช่นนั้นติดตัวมาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้  ดังนั้นเมื่อได้อยู่หลีกเร้นในป่าจึงภาวนาได้ดี เพราะความคุ้นเคยกับป่า เมื่อไปอยู่ผู้คนและสังคมมักให้โทษ  เพราะมีความองอาจกล้าหาญเหนือใคร ต้องอยู่อย่างหลีกเร้นจึงจะดี”


                    ตามที่มีการกล่าวขานในแวดวงกรรมฐาน สามเณรบุนนาคท่านบรรลุธรรมและบรรลุคุณวิเศษมีอภิญญาจิตมาตั้งแต่อายุยังน้อย  แต่พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และพระอาจารย์ปิ่น ปัญญาพโล  ได้ให้อุบายแก่ท่านว่ายังไม่ถึงกาลเวลาเนื่องจาก “กำลังของผู้ปฏิบัติยังอ่อนอยู่” หมายความว่าผู้ที่เข้าถึงการปฏิบัติและเข้าถึงธรรมะยังมีน้อย  ยังไม่ใช่เวลาแห่งการฟื้นฟูพระศาสนาหรือการเทศนาสั่งสอนเต็มที่ได้ (เป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ บ้านเมืองระส่ำระสาย แม้มีธรรมะก็ต้องเก็บตัว)


                    ต่อมาท่านได้นิมิตว่ามีช้างตัวใหญ่สองเชือกนำผ้าไตรจีวรมาวางไว้บนบ่าท่าน ท่านก็รู้ว่าการอุปสมบทเป็นพระภิกษุของตัวท่านนั้นจะมีความพิเศษ จะมีผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อุปถัมภ์ในการอุปสมบท

 
                     ต่อมาเมื่อมาจำวัดที่วัดบรมนิวาส ด้วยความที่เป็นพระเณรคนอีสานบ้านนอก เช้าวันหนึ่งท่านได้เดินบิณฑบาตหลงเข้าไปในวังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช โดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นเขตวังเจ้านายผู้ใหญ่ที่เขาห้ามคนภายนอกเข้าไป  จึงถูกคนในวังกักตัวไว้สอบสวน

 
                       เจ้าจอมมารดาทับทิมได้พบท่านแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในกิริยาที่สง่างามและไม่มีอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์เหมือนพระทั่วไป ยังคงมีความสงบสำรวมเป็นปกติ เมื่อถามท่านแล้วทราบว่าท่านอายุครบบวชแล้วและยังไม่ได้บวช เจ้าจอมมารดาทับทิมจึงทรงรับเป็นเจ้าภาพในการอุปสมบทให้


                        ต่อมาท่านได้รับการร้องขอจากเจ้าจอมมารดาทับทิมให้เขียนประวัติของตัวท่านเอง  ซึ่งท่านเองเคยปฏิเสธบุคคลอื่นมาแล้วถึง ๒ หน รวมทั้งอุปราชเจ้าเมืองคำทองแห่งประเทศลาว  แต่คราวนี้มิอาจขัดพระประสงค์ได้พร้อมมีทั้งพระผู้ใหญ่มีบัญชา  จึงได้เขียนประวัติ แต่เนื่องจากท่านรู้ว่าเมื่อประวัติของท่านเผยแพร่ออกไปจะมีภัยอันตรายบางอย่างตามมาตามที่มีผู้ทรงฤทธิ์มาแสดงนิมิตบอกไว้ล่วงหน้า

 
                       พอท่านเขียนประวัติจบลงเมื่อกลางปี ๒๔๘๐ สมดังพระประสงค์ของเจ้าจอมมารดาทับทิม ต่อมาไม่นานท่านก็อาพาธและมรณภาพลงที่วัดบรมนิวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ในขณะที่อายุได้ ๔๑ ปี


                       ตามที่ยกเอาปฏิปทาของสามเณรบุนนาคมากล่าวกับท่านทั้งหลาย ก็เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าวิถีชีวิตของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่ชีวิตของพระภิกษุหรือนักบวชที่ได้ชื่อว่าเดินไปบนเส้นทางแห่งทางธรรมโดยตรง ก็ยังมีวิถีหรือลีลาที่แตกต่างกัน  ตามบุพพกรรมที่สั่งสมไว้มาหลายภพหลายชาติ


                       บางท่านอาจต้องเป็นพระที่สร้างสรรค์ความเจริญเพื่อโปรดคนในเมือง บางท่านอาจเกิดมามุ่งหลุดพ้นมุ่งขัดเกลากิเลสรักชีวิตพระธุดงค์ บางท่านแม้เคยพากเพียรหวังที่จะอยู่อย่างสงบในป่าจนตลอดชีวิต วิบากกรรมก็ยังลิขิตให้ต้องมาอยู่กับชาวบ้าน จากที่เคยปิดวาจาก็ต้องมาพร่ำสอนปากเปียกปากแฉะสู้กับกิเลสของคนในเมือง


                        จงพอใจกับชีวิตที่เป็นตัวเราขณะนี้  หากคิดไปในอนาคตแล้วรู้สึกมืดมนก็จงหมั่นสร้างกุศลให้มากกว่าแต่ก่อน  จงมั่นใจในความที่ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน  วันนี้หากรู้สึกมืดมน ก็ยอมมืดมนไปก่อน เมื่อมีศรัทธาที่มั่นคงดุจเข็มทิศไม่หวั่นไหว  ต่อไปก็จะพบกับความสว่างไสวและความสมหวังของชีวิตได้เอง

 

                                                                                 คุรุอตีศะ
                                                                       ๑๐  กรกฎาคม  ๒๕๕๙