แสวงหาตัวเอง

 แสวงหาตัวเอง

 

 

                     ตั้งแต่เด็กเราถูกพร่ำสอนว่า ต้องไปโรงเรียนเพื่อจะได้มีอนาคตก้าวหน้า พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาผู้คนและสังคมรอบข้างก็บอกแทบจะเสียงเดียวกันว่า จะต้องแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัว เพื่อจะได้มีลูกคอยเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า  แต่ทั้งพ่อแม่ของเราและผู้คนที่พร่ำสอนให้ทำอย่างนั้น ก็ไม่เห็นมีความสุขอะไรมากมาย หลายคนจะพบว่า ตัวเราเองเมื่อเติบใหญ่ก็ไม่เห็นได้กลับไปเลี้ยงพ่อแม่อย่างที่เคยจินตนาการ


                    บางคนที่เชื่อมั่นว่าการแต่งงานจะได้มีลูกเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า แต่เห็นอายุเลยหกสิบปีแล้วก็ต้องเลี้ยงหมากาไก่อยู่คนเดียว เพราะลูกหญิงชายพอเขาเรียนจบมีงานทำก็แยกตัวไปสร้างครอบครัวของเขา  แต่ก็ไม่เคยเฉลียวใจว่าคำสอนที่ตัวเองยึดถือว่าถูกต้องนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้แต่อย่างใด  แต่ผู้คนก็ยังพร่ำสอนกันต่อไปว่าเกิดมาแล้วต้องแต่งงาน โดยไม่เฉลียวใจว่าที่เพลงสุรพล สมบัติเจริญ ร้องว่า “เป็นโสดทำไม” นั้น เขาแต่งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในช่วงเวลานั้นที่กำลังมุ่งมั่นเพิ่มจำนวนประชากร


                    มาตอนนี้ได้ข่าวว่าก็กำลังวิตกกันขึ้นมาอีก ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยนิยมแต่งงาน จึงทำให้จำนวนประชากรเด็กมีน้อย โรงเรียนประถมศึกษามีจำนวนนักเรียนเริ่มลดน้อยถอยลงไป  รัฐบาลก็กำลังเริ่มจะรณรงค์กันใหม่ให้ผู้คนมีลูกมากๆหน่อย เพราะสิ่งที่น่าห่วงใยคือสังคมยุคใหม่กำลังก้าวสู่ยุคผู้คนในวัยชรามากกว่าเด็กเยาวชนและผู้คนในวัยทำงาน


                     เมื่อสีสิบปีก่อนจำได้ว่าพ่อแม่สมัยนั้นจะนิยมให้ลูกรีบออกจากโรงเรียนเพื่อออกมาช่วยทำนา เพราะข้าวในนาคือคุณค่าทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่  ถ้าเป็นคนจีนก็พยายามให้ลูกค้าขายมากกว่าการไปโรงเรียนเพราะการค้าขายเป็นจะทำให้มีเงินทองมีอาชีพ  หากใครจะเรียนหนังสือก็ต้องหวังเป็นข้าราชการเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน  ผู้คนต่างก็ดิ้นรนไปตามวิถีของตัวเอง บางคนเป็นข้าราชการจนเกษียณ  บางคนจากถีบสามล้อต่อมามีเงินหลายล้าน  ไม่ว่าจะทำอาชีพไหนทุกคนก็ยังหมองเศร้าและว้าเหว่ในหัวใจเหมือนเดิม


                      การแสวงหาสิ่งภายนอกย่อมไม่มีวันพบจุดจบ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “นัตถิ ตัณหา สะมา นที แม่น้ำที่จะกว้างใหญ่เสมอด้วยตัณหาคือความอยาก ย่อมไม่มี” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการสมตามปรารถนาแล้ว ไม่นานก็เบื่อ ต้องแสวงหาสิ่งอื่นต่อไปไม่มีวันหยุดได้ มีตำแหน่งนี้แล้วก็เฝ้าหวังในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป  รวยเท่านี้ก็ยังรู้สึกว่ายังน้อยไป หัวใจไม่เคยเต็ม ไม่อาจพอได้ จะต้องหาให้ได้มาก ต้องให้รวยยิ่งกว่าเดิม มิฉะนั้นจะเหมือนตัวเองล้าหลัง กลายเป็นคนไม่มีค่า จึงต้องต่อสู้ดิ้นรนฟันฝ่ากันอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะสมัครใจและไม่สมัครใจเข้าโลง


                         หากใครมองเห็นสัจธรรมของชีวิตทำนองนี้  จงรู้ตัวว่าหนทางที่แท้จริงสำหรับตัวเราไม่ใช่การเดินตามหลังปุถุชนหรือวิ่งตามสังคมเหมือนใครอื่น  หากเรามองเห็นชีวิตของผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง  ชาวบ้านทั่วไปว่าเขาแสวงหาสิ่งใด แสวงหาไปทำไมในเมื่อสุดท้ายของชีวิตย่อมไปสู่ความไม่จีรังและยั่งยืน  แสดงว่าจิตใต้สำนึกของเราตักเตือนให้เลือกเดินไปตามเส้นทางของพระอริยเจ้า หาใช่การเดินหรือวิ่งตามปุถุชนคนทั้งหลาย  แสงสว่างเริ่มเรื่อเรืองเรากำลังจะค้นพบตัวเอง


                        บุคคลที่เป็นเช่นนี้หาใช่จะต้องเป็นผู้ที่ผิดหวังในความรักหรือล้มเหลวในชีวิตเสมอไปไม่  แต่เมื่อบารมีทางธรรมเริ่มแก่กล้า ก็มักจะมีเหตุให้เกิดความสลดใจจนต้องเกิดคำถามในใจว่า “ชีวิตนี้ต้องการอะไรแน่” จะเริ่มมองเห็นความไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ มองเห็นความที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยความผันแปร จะยิ่งใหญ่เป็นพระราชามหากษัตริย์หรือยาจกก็ล้วนต้องบ่ายหน้าไปสู่ความพลัดพรากและเจ็บตายเหมือนกัน


                         ความรู้สึกในใจเช่นนี้มิใช่จะเกิดขึ้นกับใครได้โดยง่าย  บางคนอายุ ๗๐ ปีแล้วก็ยังคิดไม่ได้ ยังพอใจแสวงหากามารมณ์ ทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งทั้งหลายอื่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง บางคนนั้นอายุยังน้อย ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวควรจะเพลิดเพลินในโลกีย์เหมือนคนทั่วไปแท้ๆ กลับมองเห็นภัยของวัฏฏสงสาร มองเห็นโทษของการเกิดแก่เจ็บตาย  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่าอายุของคนในทางร่างกาย ย่อมไม่อาจนำมาเทียบได้กับอายุทางสติปัญญาหรือความแก่ทางจิตวิญญาณที่บุคคลนั้นสร้างมาข้ามภพข้ามชาติ


                         หากท่านใดมีความรู้สึกในใจว่าเบื่อหน่ายในชีวิต  การเบื่อหน่ายเช่นว่านี้ไม่ใช่เป็นเพราะการไม่ได้สิ่งใดสมใจแต่หัวใจส่วนลึกยังต้องการอะไรมากมายอยู่  แต่เป็นการเบื่อหน่ายเพราะดวงจิตเกิดปัญญามองเห็นสิ่งที่ตนเองกระเสือกกระสนดิ้นรนตลอดมานั้นช่างเป็นโมฆะไม่มีสาระอะไร  ดวงจิตปรารถนาจะเข้าใจชีวิตพร้อมทั้งมั่นใจว่ายังมีสิ่งที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้  นั่นแหละคือดวงใจที่เริ่มไหลไปสู่เส้นทางแห่งธรรม


                           หัวใจเช่นนี้จะเริ่มคลายจากความยึดติด  ความรักความใคร่ที่เคยหลงใหลเพลิดเพลินอย่างมากมายจะเริ่มจางคลายและมองเห็นเป็นของเด็กเล่น  ทรัพย์สินเงินทองที่ผู้คนแย่งชิงสะสมแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายจะมองเขาเหมือนเป็นคนบ้าหอบฟางช่างน่าขัน  หัวใจจะเริ่มเบิกบานเพราะความรู้เท่าทันในสิ่งที่ตนเคยหลงติด เหมือนดอกบัวน้อยๆกลางหัวใจที่เริ่มเบ่งบาน  จากชีวิตที่เคยเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนาน จะเริ่มพอใจในความวิเวก เริ่มมีความสุขกับการดูกาย ดูใจอยู่เงียบๆตามลำพัง


                          เป็นการอยู่ตามลำพังที่ไม่ว้าเหว่หงอยเหงาเหมือนเมื่อก่อน เป็นการอยู่ตามลำพังที่มีความสุขเพราะอานุภาพแห่งสติสัมปชัญญะ เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยความจริงใจและเปี่ยมด้วยศรัทธา  เป็นชีวิตที่ค้นพบคำตอบอย่างแน่ชัดแล้วว่า สิ่งที่เราแสวงหาตลอดมา ก็คือการแสวงหาตัวเอง

 

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                     ๒  กรกฎาคม  ๒๕๕๙