ปรารภธรรม:วิสัยทัศน์

 วิสัยทัศน์

 


                     การมีธรรมะอย่างเดียวในยุคนี้ ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงอยู่ท่ามกลางคลื่นกระแสโลก ยังต้องเข้าใจกระแสโลก ต้องเข้าใจถึงความเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมืองและมีสติในการเกี่ยวข้องกับบุคคลและเรื่องราวต่างๆ จึงจะอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางวิกฤติที่ถาโถมอยู่


                    เมื่อมองไปในวันข้างหน้า หลายคนอาจรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่เงียบๆแล้วว่า ต่อไปนี้โลกและบ้านเมืองจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นั่นคือบทสรุปของวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องแล้วในการยอมรับความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ


                    หากมองในแง่ลบ การมองเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกอับจนหนทาง แต่ถ้ามองในแง่บวก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือวิวัฒนาการของโลกอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาซึ่งความแปลกใหม่ให้เราได้รู้จักมากไปกว่าเดิม


                    จากแต่ก่อนรถไฟสายกรุงเทพฯ – อรัญประเทศ เป็นรถไฟเส้นทางที่ถูกลืมถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ต่อไปนี้อาจพลิกผันกลายเป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่สร้างโดยญี่ปุ่น จากด้านตะวันตกกาญจนบุรีสู่ตะวันออกผ่านสระแก้วเข้าไปจนถึงกัมพูชา


                    ผลที่ตามมาอย่างหนึ่งก็คือ ความสงบวิเวกของเกพลิตาที่มีมาถึงยี่สิบปีอาจกลายเป็นที่ไหลมาของผู้คน ถึงตอนนั้นคือประมาณอีกเพียงห้าปีข้างหน้า ผู้คนที่อยู่ที่นี่และเคยมาที่นี่จะพากันโหยหาและรำลึกถึงเกพลิตาในวันนี้ที่จะไม่วันย้อนคืนได้อีกแล้ว


                    นั่นคือตัวอย่างของการมองเหตุการณ์ไปในวันข้างหน้า ตามหลักอนิจจังหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ที่ไม่มีอะไรหยุดนิ่งหรือมั่นคงถาวรอย่างที่ใจของมนุษย์เรียกร้องหา พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้อยู่กับวันนี้อย่างเต็มที่ด้วยความมีสติไว้ตลอดเวลา เพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าวันพรุ่งนี้ชีวิตจะได้เผชิญกับบุคคลหรือเรื่องราวอันใด


                    แม้แต่ประเทศไทยของเรานับจากนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง จากแต่ก่อนเคยแอบอิงอยู่กับมหาอำนาจทางตะวันตกมา ๖๐ ปี ต่อไปนี้อาจเกิดสิ่งบาดหมางหรือแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้


                    จากแต่ก่อนที่เราไม่เคยใส่ใจ หรือให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านนอกจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต่อไปนี้เราจะต้องย้อนกลับมาเป็นมิตรกับเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา แล้วกลับมาสนใจคบหามหาอำนาจแห่งเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และอินเดียแทน


                    สิ่งเหล่านี้คือความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในโลก แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีทุกอย่างจึงเห็นผลชัดเจนขึ้น ใครที่มีวิสัยทัศน์หรือมองการณ์ไกลไว้เช่นนี้ก็จะปรับตัวทัน เพราะจะมีผลต่อลูกหลานและเยาวชนในอนาคตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้าโดยตรง


                    การมองการณ์ไกลจะมีผลต่อชีวิตในวันข้างหน้า เหมือนเมื่อสมัย ๔๐ ปีที่แล้วพ่อแม่ที่มีอาชีพค้าขายหรือเป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา มองอนาคตไปวันข้างหน้าในช่วงเวลานั้นว่าลูกของตนจะต้องมีปริญญา  อนาคตจึงจะทันคนอื่น จึงพยายามส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆ


                    เพียงแต่ยุคต่อจากนี้จะต่างกันกับเมื่อสี่สิบปีก่อน เพราะไม่ใช่ยุคของคนที่มุ่งคิดจะเอาแต่สบายโดยง่ายเพียงมุ่งแต่เรียนหนังสือเพื่อให้จบปริญญาแล้วก็หางานทำ แต่จะเป็นยุคของคนที่มีฝีมือและเป็นคนจริง ใครที่แม้เรียนไม่สูงแต่มีคุณภาพมีคุณธรรมมีน้ำใจน่าเชื่อถือ ก็จะกลายเป็นคนที่สังคมให้การยกย่องให้เกียรติแทนคนที่เรียนจบมาแต่ไม่มีศักยภาพในตัวเอง


                    คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตในยุคหน้า จะไม่ค่อยได้วัดกันที่ปริญญาเหมือนยุคที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่จะวัดกันด้วยการที่บุคคลนั้นกล้าหาญรู้จักเลือกงานที่ใจรักและถนัดพร้อมทั้งเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เป็นยุคของประชาธิปไตย ที่ต่างเคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกัน


                    ใครที่หัวไม่ดี เรียนไม่เก่ง แต่ยังพยายามฝืนเรียนตามอย่างเขาจะกลายเป็นคนล้าหลัง  ในทำนองเหมือนคนยุคสี่สิบปีก่อนเคยดูหมิ่นการเรียนหนังสือโดยมองว่า “ทำนาหรือค้าขายดีกว่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไม” นี้คือผลของการมองการณ์ไกลที่ต่างกัน คนหัวไม่ดีต้องทำงานในสิ่งที่ใจรักแล้วจะพบความสุขในชีวิต


                    ต่อไปผู้คนจะไม่นิยมแต่งงานมากขึ้น สถาบันครอบครัวที่เคยเป็นรากฐานที่มั่นคงของสังคมจะเกิดการสั่นคลอนผิดจากแต่ก่อน วัดวาอารามจะค่อยๆร้างผู้คนมากขึ้นเหมือนในฝรั่งเศสและสเปน มีสังคมยุคใหม่ที่ผู้คนแสวงหาการรู้แจ้งด้วยตนเองด้วยความรู้ ตื่น เบิกบาน


                    อีกยี่สิบปีข้างหน้าวิทยาศาสตร์จะเริ่มเชื่อมกับพุทธศาสตร์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ผู้คนจะเข้าใจในศาสนาตามคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่เคยพูดถึง "ศาสนาในอนาคตที่จะรับมือได้วิทยาศาสตร์"  คำว่า "วิทยาศาสตร์"จะกลายเป็นสองความหมาย คือวิทยาศาสตร์ทางด้านวัตถุภายนอกที่เข้าใจกันอยู่แล้วตามเดิม กับวิทยาศาสตร์ภายใน อันมีอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา


                   พระสงฆ์จะเริ่มไม่มียศศักดิ์ตามแบบทางโลกอีก การบวชเพื่อเรียนหนังสือที่เคยมีมาสามสิบปีจะเริ่มหมดความหมาย จะกลายเป็นว่าคนชั้นสูงของสังคมหรือคนมีการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในทางโลกและเบื่อหน่ายชีวิตทางโลกแล้ว มีศรัทธาเข้ามาบวชอยู่ในพระศาสนามากมายเป็นประวัติการณ์ พระสงฆ์ที่จะบวชออย่างมีความสุขอยู่ได้ต้องเป็นผู้บวชด้วยศรัทธาจริง ศึกษาจริงและปฏิบัติจริง


                    ในขณะที่สังคมเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีมากขึ้น แต่ผู้คนจะนิยมความเป็นปัจเจกบุคคลหรือต้องการชีวิตที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้คนมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีความกลุ้มใจและความวิตกกังวลมากขึ้นเป็นเงาตามตัว


                    สิ่งที่ผู้คนในยุคต่อไปต้องการก็คือพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่ศาสนาเพียงตามรูปแบบหรือพิธีกรรมที่คอยสนองความมีเกียรติมียศ มุ่งสร้างวัตถุ มุ่งลาภสักการะ หรือมุ่งแข่งขันกันเลียนแบบทางโลกอย่างที่เห็นกันอยู่และมักส่งเสริมกันในช่วงระยะเวลา ๔๐ ปีมานี้


                    พระพุทธศาสนาแห่งการเจริญสติสมาธิภาวนา ที่สามารถดับความทุกข์ร้อนทางใจ เป็นศาสนาแห่งสติปัญญา ที่นำใจดวงนี้ไปสู่ความเป็นพุทธะ คือความรู้สึกตัว ที่ประกอบด้วยการรู้ ตื่น เบิกบาน


                    ศาสนาอันเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา มีความหวังดีและเกื้อกูลต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นความบริสุทธิ์แห่งจิตเดิมแท้อันไร้เดียงสา คือศาสนาที่คนยุคใหม่ต้องการ

 

                                                                                คุรุอตีศะ
                                                                          ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘