ปรารภธรรม:ชีวิตดั่งสายน้ำ

ชีวิตดั่งสายน้ำ

 

 

 

 

                    ขึ้นชื่อว่า “ชีวิต” ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว ชีวิตไม่ใช่ความแข็งแกร่งดุจขุนเขาที่ท้าทาย แต่ชีวิตย่อมเป็นดั่งสายน้ำที่ไหลอย่างเอื่อยๆ แต่ไหลอย่างสงบ ไม่มีการคาดหวังต่อสิ่งใด ชีวิตย่อมเลื่อนไหลไป ดุจสายน้ำที่ในที่สุดก็ต้องไหลไปสู่ปากแม่น้ำ แล้วไหลออกสู่มหาสมุทร้องทะเล


                    ความรักและกามารมณ์ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต แต่เนื่องจากมนุษย์พากันยึดติดในรสชาติอันอร่อยของมันมากเกินไป จึงเอาชีวิตและหัวใจไปหมกมุ่นและจมกับสิ่งอันเป็นเพียงส่วนเสี้ยว จนมองไม่เห็นความยิ่งใหญ่ไพศาลของชีวิต จึงทำให้ดวงจิตเต็มไปด้วยความขุ่นมัวและไฝฝ้า ไม่อาจพบกับความสดใสเบิกบานในอาณาจักรแห่งความรัก อันเป็นองค์รวมของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย


                    เราไม่อาจเอาชนะความรักด้วยการพยายามต่อสู้กับใครหรือต่อสู้กับสิ่งใดได้ เพราะเส้นทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะของความรัก หาใช่เส้นทางแห่งอัตตาหรือแรงทะเยอทะยานเพื่อให้เป็นดั่งที่ใจต้องการเช่นนั้น

 

                   เส้นทางของความรักคือการยอมศิโรราบ ยอมแพ้ ยอมให้ทุกสิ่งเป็นไปโดยยอมรับความจริงของมัน ความรักคือสัญลักษณ์แห่งสายน้ำที่จะสัมผัสได้ด้วยหัวใจที่ยอมศิโรราบและยอมแพ้อย่างหน้าชื่นตาบาน


                    ก่อนจะถึงปีใหม่อีกไม่กี่วัน จงถามหัวใจของตัวเองดูว่า เราจะต้อนรับปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยลีลาของชีวิตแบบไหน บางคนอาจไปดูเหมยขาบที่ดอยอินทนนท์ บางคนอาจไปเที่ยวภูกระดึงดูน้ำค้างและหมอกยามเช้าที่แทบมองไม่เห็นสนสามใบ นั่งหนาวสั่นอยู่ลานวัดพระแก้วหรือนั่งห่อตัวปากซีดขากรรไกรสั่นอยู่ผานางแอ่นรอความเมตตาและไออุ่นจากดวงตะวัน


                    ถ้าจะถามคำแนะนำ ในยามนี้ก็อยากแนะนำให้ทุกคนพากันรักษาศีล เพราะโลกทุกวันนี้ไม่เป็นใจกับความสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน ต้องผ่านสามปีไปแล้วความเบิกบานจะคืนกลับมาอย่างแน่นอน ตอนนี้ควรทำตัวเป็นกบจำศีลไปก่อน ค่อยออกมาร้องโอ๊บๆเมื่อฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำและความเขียวขจีเข้ามาเยือน หมั่นทำบุญสร้างกุศลตามกำลังอย่างสม่ำเสมอตามกำลังทรัพย์ มีชีวิตที่สงบและเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เมื่อโอกาสมาถึงแล้วตามที่หวัง ค่อยเป็นม้าบิน ทุกสิ่งจะกลายเป็นความก้าวหน้าและดีงาม


                    ผู้ที่มีชะตากรรมอกหัก รักคุด หรือมีความรักที่ทุกข์ทรมานแบบช้ำเลือดช้ำหนอง ในยามนี้ก็ยิ่งจะต้องรักษาศีลเพื่อการปรับสมดุลในชีวิตอย่างเป็นกรณีที่เร่งด่วน ให้ตัดอกตัดใจพาหัวใจอันยับเยินของเราไปสงบสติอารมณ์อย่างเงียบๆระยะหนึ่งสักชั่วคราว แล้วใส่ชุดขาว ฟังธรรมไป ภาวนาไป เช็ดน้ำตาไป หยุดการดิ้นรนแย่งชิงไขว่คว้า และเลิกเอาหัวใจน้อยๆอันน่าสงสารของเราไปฝากไว้กับผู้ชายหรือผู้หญิงเสียที


                    ในยามนี้จงหมั่นอบรมสั่งสอนตักเตือนหัวใจของตัวเองทุกค่ำเช้า ว่าต่อไปนี้จงหันกลับมารักตัวเองดีกว่านะหัวใจเอ๋ย มอบอะไรให้เขาไปทุกสิ่งแล้วเขากลับไม่เห็นทำให้สบายหัวใจเลย บัดนี้จะขออยู่เงียบๆเฉยๆ ไม่ยอมให้หัวใจน้อยๆดวงนี้ต้องตกเป็นทาสของใคร


                    เวลาไปรักษาศีลและปฏิบัติธรรมที่ไหน เมื่อครูบาอาจารย์ท่านปล่อยไปพักผ่อน ก็ไม่ใช่เอาแต่ไปหลบนอนน้ำตาไหล เมื่อไปรักษาศีล ก็อย่าไปอ้างว่าเข้ากลดเข้าเต็นท์เพื่อจะนั่งภาวนา แต่ก็ไปแอบเล่นเฟซบุ๊คหรือแช็ทไลน์ ถ้ากายใส่ชุดขาวอยู่ในวัด แต่ใจไปอยู่ข้างนอก อานิสงส์ของศีลบารมีจะเกิดแค่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนเนกขัมมะบารมีจะได้เพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์


                    ผู้ที่มีชีวิตครอบครัวหรือความรักเป็นปกติสุขดีอยู่แล้ว หากมีโอกาสก็ควรขออนุญาตคู่ครองออกบำเพ็ญศีลในยามนี้ การบำเพ็ญศีลของผู้ที่มีความรักเข้าใจกันอยู่แล้ว เป็นวิสัยของบัณฑิตผู้ไม่ประมาทในชีวิต จะกลายเป็นเนกขัมมะบารมีทั้งสองฝ่าย จะเกิดความเคารพนับถือกันอย่างลึกซึ้งอยู่ในใจ จากที่เคยเชื่อใจกันเข้าใจกันอยู่แล้ว จะเกิดความเทิดทูนอันลึกซึ้งต่อกันและเต็มไปด้วยความไว้วางใจอย่างยากที่จะอธิบาย อันเป็นผลจากศีลและเนกขัมมะบารมีที่ทั้งสองฝ่าย ต่างมีจิตเป็นกุศลให้อีกฝ่ายไปบำเพ็ญและอนุโมทนาร่วมกัน


                    เมื่อยู่กับความรักหรือกับครอบครัวก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อรักษาศีลปฏิบัติธรรมก็ต้องเด็ดเดี่ยวบำเพ็ญอย่างเต็มที่และตัดใจจากปลิโพธเครื่องกังวลในทุกสิ่ง จิตใจจะเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากกว่าเดิมหลายเท่า อานิสงส์จะทำให้ชีวิตในทางโลกก้าวหน้ายิ่งขึ้นแม้ไม่ตั้งใจ


                     แท้จริงแล้ว “การตัดใจได้”นั่นเองที่เรียกว่า “บวช” เพราะคำนี้มาจากภาษาบาลีว่า “ป-ว-ช” แปลว่า “การตัด การเว้น”

 

                    การบวชก็คือการตัด การเว้น จากกิจกรรมของฆราวาส อันได้แก่การคลุกคลีกับการงานอาชีพ รายได้ งานสังคม ผู้คนทั่วไป และกามารมณ์ การบวชด้วยความศรัทธาและความตั้งใจอย่างแท้จริง จึงเกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ตามมา


                    ผู้รู้แจ้งและนักปราชญ์ทั้งหลายท่านมักเปรียบชีวิตเป็นดั่งสายน้ำ แม้เราจะตั้งใจหรือไม่ แต่ตัวชีวิตก็ยังคงเลื่อนไหลไปอยู่เสมอ อาจกระทบกับโขดหิน เกาะแก่งในระหว่างทางบ้าง แต่สายน้ำก็ยังคงสามารถไหลเลาะเซาะแก่งหินทะลุผ่านไปได้ ไม่เคยติดขัดและจำนนต่อสิ่งใด สายน้ำทุกสายยังคงมุ่งไหลไปสู่ปากอ่าวเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำในท้องทะเล


                    มนุษย์ทุกคน ทั้งคนบุญ คนบาป คนดี คนชั่ว คนถูก คนผิด ต่างก็มีชีวิตเลื่อนไหลไปสู่พระนิพพานหรือการรู้แจ้งด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าบุคคลนั้นในปัจจุบันนี้จะมีเจตนาหรือรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่สายน้ำบางสายได้ออกสู่ทะเลไปแล้ว ส่วนบางสายกำลังปะทะกับโขดหินอันแข็งแกร่ง แต่ในที่สุดสายน้ำนั้นก็ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลสู่ท้องทะเลในที่สุด


                    ด้วยเหตุนี้พระอริยบุคคลผู้รู้แจ้งโลก ท่านจึงมักมีความเมตตาต่อผู้ที่กำลังหลงผิดและปุถุชนอย่างยากที่คนสามัญจะเข้าใจ และท่านมักให้โอกาสแก่พวกเขาในการตั้งต้นใหม่อย่างไม่มีการเบื่อหน่าย เพราะคนที่มีชีวิตที่ผิดพลาดนั้นต้องทนทุกข์ทรมานและน่าสงสารนัก


                     การดุด่าว่ากล่าวหรือการแสดงความโหดร้ายในบางครั้ง ก็เป็นเพียงอุบายวิธีและลีลาที่จะช่วยสายน้ำให้หลุดรอดออกจากโขดหิน เพื่อให้สายน้ำที่กำลังมึนงงและหลงทางอยู่นั้น สามารถไหลต่อไปได้อย่างสะดวกไม่ติดขัด เพื่อพ้นจากวังวนแห่งวัฏฏสงสาร จนกระทั่งไหลลงไปสู่ทะเลและมหาสมุทรคือกระแสแห่งพระนิพพานในวันหนึ่งนั่นเอง

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                        ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗