เมื่อไหร่หัวใจจึงจะเต็ม

เมื่อไหร่หัวใจจึงจะเต็ม

 

 

                    "ผมต้องการความรักและผู้หญิงซักคนเพื่อหัวใจจะได้เต็ม!" หนุ่มใหญ่วัยครึ่งคน ที่มีอายุเลยครึ่งศตวรรษ ที่เพิ่งหย่าร้างมาใหม่ๆ อันเป็นการหย่าร้างที่มิใช่ครั้งแรก ได้ให้เหตุผลกับหลวงตาผู้ผ่านโลกมาพอสมควร ซึ่งบัดนี้บวชมานาน จนบางครั้งแทบลืมไปแล้วว่าตอนนี้ได้กี่พรรษา หากมีใครถามขึ้นมา ท่านต้องหยุดนับอยู่พักหนึ่งก่อนจึงจะตอบออกมาได้  ในชีวิตจริงแม้ท่านจะรักความสมถะสันโดษเพียงใด แต่ก็มักมีใครเอาเรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้ามาท้าทายความรักสันโดษของท่านอยู่บ่อยๆ

 

                หลวงตาผู้ซึ่งบัดนี้เส้นผมบนศีรษะขาวโพลน  หลังจากได้ฟังเหตุผลของหนุ่มใหญ่ผู้ซึ่งแสวงหาความเต็มของหัวใจ ด้วยการพากเพียรในการที่จะมีสตรีเด็กสาวที่หมายตาไว้มาเชยชม  ท่านได้เหม่อมองไปยังต้นไม้ที่ตระหง่านอยู่ในป่ารกอยู่เบื้องหน้า  สักครู่จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า "แล้วเด็กสาวที่เคยเชยชมมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน จนมีลูกด้วยกันโตขนาดนั้น  จนความสาวและความสวยเธอหายไปเพราะงานหนักทั้งในบ้านนอกบ้าน และความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ทำไมไม่ทำให้หัวใจของเราเต็มได้?!"

 

                  เขาอึ้งพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง  แล้วก็ถามเหมือนกับรำพึงขึ้นว่า "ทำอย่างไรครับหัวใจจึงจะเต็มได้? คนเราแต่งงานมานานแค่ไหน แต่ทำไมหัวใจจึงไม่รู้สึกว่าเต็มเสียที.."

 

                   อาจมีคนหลายคนรู้สึกเช่นนี้  มีคำถามอยู่ในใจมากมาย แต่ไม่สามารถจะถามใครได้  หลายคนก็แสวงหาความรักเรื่อยไป  ด้วยความคิดว่าจะต้องมีใครซักคนมาทำให้หัวใจของเราเต็มบริบูรณ์

 

                    ในระยะนี้หลวงตาได้ยินเรื่องราวของผู้คนที่แสวงหาความเต็มในทำนองนี้สามรายแล้ว รายแรกเป็นเรื่องราวของหนุ่มใหญ่ผู้ซื่อสัตย์และรักครอบครัว ที่สร้างฐานะจากความยากไร้จนรุ่งเรืองมีฐานะขึ้นมา มีลูกชายสองคนกำลังโตเป็นหนุ่ม  ในขณะที่ชีวิตกำลังสดใสและวางใจว่าชีวิตนี้ช่างผาสุกแท้  ก็ปรากฏว่าภรรยาของตนกลับไปแสวงหาความเติมเต็มกับคนอื่นเสียแล้วอย่างไม่น่าเป็นไปได้

 

                    เขาแทบเป็นบ้าเพราะความผิดหวัง ต้องร้อนถึงหลวงตาในการพยายามประคองให้สติและได้อาศัยความรักความอบอุ่นที่เข้มแข็งระหว่างพี่น้องในการเยียวยา ได้ส่งผลทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นคนละคน  จากที่เคยฝากชีวิตไว้แต่กับเรื่องการทำมาหากินและความสุขในครอบครัวเพียงอย่างเดียวแบบเมื่อก่อน ก็กลายเป็นคนมองเห็นสัจธรรมของชีวิตที่ตนไม่เคยใส่ใจแม้แต่น้อย กลายเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง สามารถพัฒนาจิตใจจนให้อภัยแก่อดีตภรรยาได้ เป็นผู้มีธรรมะประจำใจ จนผู้คนทั้งหลายต่างพากันแปลกใจ ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ไปกินเหล้าเมายาและทำตัวเละเทะอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนใครๆ

 

                      รายที่สอง เป็นเรื่องราวชีวิตคู่ของบุคคลผู้มีฐานะและตระกูลที่มีหน้ามีตา มีชื่อเสียงทัดเทียมกัน  ฝ่ายชายเป็นคนดีและมีชื่อเสียง มีฐานะความร่ำรวยที่พร้อมไปทุกด้าน  แต่แม้ทั้งสองจะมีลูกที่กำลังน่ารักด้วยกันถึงสองคน แต่เมื่อวิบากกรรมมาถึง  ชีวิตการครองคู่ที่มีพิธีจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่เพราะบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้มีชื่อเสียง ชีวิตคู่ที่ดูมั่นคงตลอดมา  กลับกลายเป็นว่า ฝ่ายหญิงได้ไปมีใหม่อย่างไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน  แต่รายนี้นั้นไม่อยู่ในวิสัยที่หลวงตาจะได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด

 

                      รายสุดท้ายก็คือรายนี้  ซึ่งค่อนข้างพิเศษกว่ารายอื่น  เพราะสองรายข้างต้นเป็นเรื่องของฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายตีจากไป  แต่สำหรับรายนี้ เป็นเรื่องของหนุ่มใหญ่ ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ แต่กำลังแสวงหาความเติมเต็มในหัวใจ  หลังจากหย่าขาดจากภรรยาโดยนิตินัยในห้วงเวลาเพียงไม่ถึงเดือน

 

                      จึงนับเป็นภาระของหลวงตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในการให้สติเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะจากไปในการตัดสินใจแสวงหาความเติมเต็มในหัวใจ  ตามแบบที่หลวงตาเคยแสวงหามาแล้วตลอดวัยหนุ่ม  ก่อนจะมาครองผ้ากาสาวพัสตร์เช่นทุกวันนี้  อย่างน้อยก็ยังดีกว่าวางเฉยโดยไม่พูดอะไรเลย

 

                       "การเติมเต็มในหัวใจไม่ว่าหัวใจของผู้ชายหรือหัวใจของผู้หญิง  ไม่เคยมีใครสามารถเติมเต็มได้ด้วยการอาศัยผู้ชายและผู้หญิง.." หลวงตามองเขาด้วยความเมตตา แล้วพูดขึ้นมาเพื่อให้สติแก่เขา ผู้ซึ่งกำลังประณมมือฟังด้วยความเคารพ  อย่างน้อยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพของเขาก็ควรแก่การให้โอวาทและควรแก่การจะให้ความเมตตาในยามนี้อยู่บ้าง

 

                        "หากวิธีนี้สามารถทำให้หัวใจเต็มได้  เจ้าชายสิทธัตถะก็คงมีหัวใจเต็มแล้วตั้งแต่ยังทรงอยู่ในพระราชวัง  หลวงปู่มั่น  หลวงพ่อจรัญ  หลวงปู่ฝั้น  หลวงปู่แหวน  หลวงพ่อพุทธทาส หลวงปู่สรวง ท่านก็คงใช้วิธีนี้ไปนานแล้ว  ไม่ต้องออกบวชและเดินธุดงค์เอาชีวิตเข้าแลกดังที่เราทราบประวัติมา  แต่ก็เพราะท่านเหล่านั้นได้พิสูจน์มาหลายภพหลายชาติแล้วว่า การแสวงหาความเต็มของหัวใจเช่นนั้น ไม่ได้เป็นหนทางที่ถูกต้อง  เพราะยิ่งแสวงหาเท่าไหร่  หัวใจจะยิ่งบกพร่องเท่านั้น  ในชาติสุดท้ายท่านจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับวิธีเช่นนั้น แล้วหันมาใช้วิธีการของพระพุทธองค์ ท่านเหล่านั้นก็สำเร็จสมดังประสงค์ หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่าท่านใดบอกว่าหัวใจของท่านพร่องหรือขาดแคลนอีก ไม่มีท่านใดแสวงหาความเต็มอีกเลย

 

                      การที่เราต้องพากันเกิดชาติแล้วชาติเล่า มีผัวมีเมียกันอยู่แบบนี้นั้น ก็เพราะพากันแสวงหาความเต็มของหัวใจด้วยวิธีนี้มาทุกชาติ  แล้วคนทั้งหลายก็ไม่เคยเข็ดหลาบแม้แต่น้อย

 

                       พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ทะเลย่อมไม่อิ่มด้วยน้ำ ฉันใด  หัวใจของมนุษย์ที่จะอิ่มด้วยตัณหาย่อมไม่มี ฉันนั้น"  หลวงตาพูดสรุปลงในที่สุด

 

                    คนส่วนใหญ่ทั้งหลายในโลก  ต่างแสวงหาความอิ่มด้วยกามบ้าง  ด้วยวัตถุข้าวของเงินทองบ้าง ด้วยการแสวงหาอำนาจความยิ่งใหญ่บ้าง  แล้วแต่ว่าโอกาสในการแสวงหาของแต่ละคนจะเป็นไปในรูปแบบใด  ที่มนุษย์ทั้งหลายต่างพากันดิ้นรนแสวงหามากมายนั้น  ก็เพื่อให้ได้รับความเต็มของหัวใจนั่นเอง

 

                      ไม่ว่าจะพากันแสวงหามากเพียงใด  แต่ก็ไม่มีใครเคยบอกว่าตนเองอิ่มแล้ว พอแล้วแม้แต่คนเดียว  มีแต่คนที่ได้แล้ว ก็อยากได้มากขึ้นไปอีกกันทั้งนั้น  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  หัวใจของเราไม่อาจจะเต็มได้ด้วยตัณหาความทะยานอยากที่มีอยู่ร่ำไป  เหมือนกับทะเลหรือมหาสมุทร ไม่มีวันที่จะอิ่มด้วยน้ำ

 

                     หากใครก็ตามเอาหัวใจไปฝากไว้กับความรักความเสน่หาหรือกามารมณ์  แทนที่หัวใจนั้นจะอิ่ม  กลับจะพบแต่ความขาดแคลนและโหยหาอยู่ร่ำไป  ความขาดแคลนในหัวใจจะมีทั้งหญิงและชายเสมอหน้ากัน

 

                    ความรักแบบสามีภรรยาหรือการมีคู่ครองโดยทั่วไป  แม้จะมีกี่คนก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของมนุษย์ได้รับการเติมเต็มได้  จนกว่าหญิงหรือชายจะพัฒนาหัวใจให้สูงขึ้น  จนกลายเป็นหัวใจที่รู้จักรักและมีศรัทธาอันมั่นคงต่อศาสนา หรือเป็นความรักของมหาบุรุษที่รักและเสียสละต่อชาติบ้านเมืองและมหาชนให้กว้างออกไป  ความรักเช่นนั้นจึงจะเริ่มสะอาดและสูงส่งขึ้นจากระดับที่เพียงเป็นกิเลสตัณหาอย่างแต่ก่อน

 

                   แท้จริงแล้ว วิธีหรือเส้นทางที่หัวใจดวงนี้จะได้พบกับความเต็ม มีเพียงเส้นทางเดียวคือเส้นทางของปวงเหล่าพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดำเนินไปแล้วเท่านั้น  ที่จะทำให้หัวใจของมนุษย์ผู้มีศรัทธาเดินตาม  สามารถข้ามฝั่งแห่งตัณหาจนก้าวขึ้นสู่แดนเกษมอันหมดสิ้นความปรารถนาทั้งปวง  แล้วดวงใจของท่านเหล่านั้นจึงพบกับความเต็มตลอดไป

 

                  เมื่อไหร่หัวใจดวงนี้จึงจะเต็ม?  ก็จนกว่าตัณหาความอยากทั้งปวงจะสิ้นสุดลง  ไม่มีหนทางอื่น นอกจากหนทางนี้เท่านั้น

 

                   ชีวิตของพระอรหันต์และพระอริยเจ้าทั้งปวง คือชีวิตของผู้มีความเต็มในหัวใจ  ท่านจึงไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องขาดแคลนอะไร  เป็นชีวิตที่มีความสุขอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยการมีคู่  เป็นชีวิตที่ประเสริฐ

 

                   ความเต็มของหัวใจ  ไม่สามารถเติมเต็มได้ด้วยสิ่งอื่นภายนอก  มีแต่การดำเนินจิตไปตามอริยมรรคภายในใจ  ที่ไม่มีใครมารู้เห็นกับเรา  เมื่อสติเจริญขึ้นเพียงใด  หัวใจของเราจะค่อยๆได้รับการเติมเต็มทีละน้อย  จากหัวใจที่ขาดแคลนแห้งแล้งไปทุกอย่าง  จะกลายเป็นหัวใจที่เอิบอิ่มสดชื่นมากขึ้น

 

                   ความรักหรือการมีคู่ครอง  ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติและตามวิบากกรรมที่แต่ละคนแต่ละชีวิตจะได้พบเจอ  แต่พึงเข้าใจความจริงของชีวิตไว้เสมอ  ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงการได้เสวยกรรมดีกรรมชั่วไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น  แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทำให้หัวใจของเราเต็มได้ นี้คือหลักการดำเนินชีวิตของพระอริยบุคคล ที่บางท่านอาจมีความรักความใคร่ไปตามวิสัยคล้ายกับปุถุชน  แต่ดวงจิตภายในของท่านกลับอยู่เลยพ้นจากการยึดมั่นเอาความรักมาเป็นสรณะเพราะเหตุนี้

 

                    หัวใจจะเต็มได้ไม่ใช่เพราะการแสวงหาความรักหรือการแสวงหาคู่ครอง  แต่หัวใจดวงนี้ย่อมเต็มได้เมื่อความปรารถนาความทะยานอยากทั้งปวงสิ้นสุดลงต่างหาก  ชีวิตของผู้ที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมเช่นนั้น เราทราบกันในนามของท่านว่า "พระอรหันต์และพระอริยบุคคล"

 

                   ขอเพียงมีหัวใจที่มีความรักที่งดงามไปแต่ละวัน  มีความสุขในวันนี้ไปเรื่อยๆ หัดมองเข้ามาภายใน  ให้มองเห็นหัวใจของตัวเองบ่อยๆ  ความสดชื่นและกำลังใจจะเกิดขึ้นทีละน้อยจากที่เคยแห้งแล้งมานาน

 

                   หลังจากนั้นเราจะรู้สึกได้เองว่า  บ่อน้ำคือหัวใจของเรานี้ ที่เปรียบเหมือนบ่อร้างที่ไม่มีน้ำมานาน  ก็จะเริ่มมีสายธารไหลหลั่งเติมเต็มลงสู่บ่อน้ำทีละน้อย  จากที่เคยเป็นบ่อน้ำที่แห้งผาก  จะกลายเป็นบ่อน้ำที่ดื่มกินได้  หัวใจที่ได้รับการเติมเต็มด้วยกระแสแห่งธรรมและเริ่มมีสติก็เปรียบได้เช่นนั้น

 

                    ความรักเช่นนี้ต่างหากจึงจะทำให้หัวใจของเราได้รับการเติมเต็ม  อันเป็นความรักอันงดงาม  ความรักแห่งพุทธะ ความรักที่จะพากันออกจากวัฏฏสงสาร  เป็นความรักที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักแท้  ซึ่งต่างจากความรักของปุถุชนโดยทั่วไป  เพราะความรักเช่นนี้มีแต่จิตที่คิดจะให้  รักแล้วไม่คิดจะครอบครองสิ่งใด

 

                    แล้วสุดท้าย คำถามที่ว่า "เมื่อไหร่หัวใจจึงจะเต็ม?" นั้นจะจบสิ้นลง  เพราะหัวใจและชีวิตได้พบกับคำตอบอย่างเต็มบริบูรณ์โดยไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆ

 

 

                                                                          คุรุอตีศะ

                                                                  ๓๑  มกราคม  ๒๕๕๗